ผู้เขียน หัวข้อ: มะเกือสมุนไพรไทย คงได้แต่เล่าให้ลูกหลานฟัง  (อ่าน 3290 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ สุบิน

  • เทพ
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 2334
    646
    • อีเมล์




ชื่อวิทยาศาสตร์ :    Diospyros mollis Griff.

ชื่อสามัญ :   Ebony tree

วงศ์ :   Ebenaceae

ชื่ออื่น :  ผีเผา (ฉาน-ภาคเหนือ) มักเกลือ (เขมร-ตราด)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ลำต้นเปลา โคนต้นมักเป็นพูพอน ผิวเปลือกเป็นรอยแตกสะเก็ดเล็กๆ สีดำ เปลือกในสีเหลือง กระพี้สีขาว กิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นประปราย ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดเล็กรูปไข่หรือรีเรียงตัวแบบสลับ ปลายใบสอบเข้าหากัน โคนใบกลม หรือมน ผิวใบเกลี้ยง ใบกว้าง 3.5-4.0 ซม. ยาว 9-10 ซม. ใบที่ยังอ่อนจะมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกแยกเพศต่างต้น ดอกตัวผู้มีขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อน หนึ่งช่อมี 3 ดอก ดอกตัวเมียเป็นดอกเดี่ยว ลักษณะดอกเหมือนกัน คือ กลีบรองดอกยาว 0.1-0.2 ซม. โครกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายกลีบดอกแยกเป็น 4 กลีบ สีเหลืองเรียนเวียนซ้อนทับกัน ตรงกลางดอกมีเกสร ผล กลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. ผิวเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีดำ ผลแก่จัดจะแห้ง มีกลีบเลี้ยงติดบนผล 4 กลีบ ผลแก่ราวเดือนมิถุนายน-สิงหาคม เมล็ด แบน สีเหลือง 4-5 เมล็ด ขนาดกว้าง 0.5-0.7 ซม. ยาว 1-2 ซม. ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
ส่วนที่ใช้ :  ราก, ผลมะเกลือสด โตเต็มที่และสีเขียวจัด (ห้ามใช้ผลสุกสีเหลืองหรือผลสีดำ)

สรรพคุณ :

ราก  -  ฝนกับน้ำซาวข้าว รับประทานแก้อาเจียน แก้ลม 

ผลมะเกลือสดและเขียวจัด - เป็นสมุนไพรยอดเยี่ยมที่สุดในการถ่ายพยาธิ กำจัดตัวตืด หรือไส้เดือนตัวกลม พยาธิปากขอ พยาธิเข็มหมุด

วิธีและปริมาณที่ใช้
          ผลสดโตเต็มที่และเขียวจัด จำนวนผลเท่าอายุแต่ไม่เกิน 25 ผล (คนไข้อายุ 40 ปี ใช้เพียง 25 ผล) ตำใส่กะทิ คั้นเอาแต่น้ำกะทิ ช่วยกลบรสเฝื่อน ควรรับประทานขณะท้องว่าง ถ้า 3 ชั่วโมงแล้วยังไม่ถ่ายใช้ยาระบาย เช่น ดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำดื่มตามลงไป
สารเคมี - สารกลุ่มพีนอล ชื่อ diospyrol ซึ่งถูก oxidize ง่าย
ข้อควรระวัง

ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำว่า 10 ขวบ หญิงตั้งครรภ์ หรือหลังคลอดใหม่ๆ และผู้ป่วยในโรคอื่นๆ

ระวังอย่าให้เกินขนาด

ถ้าเกิดอาการท้องเดินหลายๆ ครั้ง และมีอาการตามัวให้รีบพาไปพบแพทย์ด่วน
*ขอบคุณข้อมูลอินเตอร์เนต*

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=6901

ออฟไลน์ เฒ่าแก่

  • VIP
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 777
    238
  • เพศ: ชาย
  • ขอพักใจด้วยครับ

ท่านลุงครับ มะเกือนี้ใช่มะเกือเดียวกัยที่ใส่ในกระแช่ไหมครับ

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=6901

ออฟไลน์ สุบิน

  • เทพ
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 2334
    646
    • อีเมล์

ท่านลุงครับ มะเกือนี้ใช่มะเกือเดียวกัยที่ใส่ในกระแช่ไหมครับ
:'e:82 ไม้มะเกลือพอว่า ผลมะเกลือนี่สิ กินเยอะถ่ายท้องอันตรายนะ!
สูตรกะแช่ (น้ำตาลเมา) เมืองเพชรบุรี
ส่วนผสม
1.น้ำตาลสดๆจากต้น
2.ไม้มะเกลือ

วิธีทำ
1.นำน้ำตาลสดใส่ลงภาชนะ
2.นำไม้มะเกลือแช่งลงไปในน้ำตาลสด ปิดฝาภาชนะให้สนิท
3.หมักทิ้งไว้ 3 คืน จะได้รสชาดกำลังพอดี

ภูมิปัญญาชาวบ้าน  การทำน้ำตาลเมาหรือกะแช่
        น้ำตาลใสหรือน้ำตาลสดที่ได้จากการขึ้นตาลนั้น  ถ้าทิ้งไว้นานเกิน  24  ชั่วโมง  จะเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำส้มสายชู  ถ้านำไปต้มหรือเคี่ยว  เพื่อไม่ให้บูดเสียจะเรียกว่า  น้ำตาลตงุ่น
        นอกจากนี้น้ำตาลใสยังนิยมทำเป็นเครื่องดื่มประเภทหมักดองผสมแอลกอฮอล์  เรียกว่า  น้ำตาลเมา  (Palm  Wine)  หรือกะแช่  หรือเบียร์ภูธร  เพราะมีดีกรีใกล้เคียงกัน  การทำน้ำตาลเมานี้จะใส่ในภาชนะจำพวกใหหรือกระตุ้ม  ซึ่งมีขนาดความจุประมาณ  2  -  3  ลิตร  เรียกกันว่า  "ที่"  ส่วนภาชนะสำหรับดื่มกระแช่นิยมใช้กะลามะพร้าวขัดผิวจนเป็นมันเลื่อมเรียก ว่า  "หล่อ"
        วิธีการทำกะแช่  ต้องใช้รากไม้  หรือกิ่งไม้จำพวกไม้มะเกลือ  นำมาฝานเป็นชิ้น  ๆ  แล้วย่างไฟจนหอม  เรียกว่า  "เชื้อ"  เมื่อจัดเรียงลำดับเชื้อลงในภาชนะที่เตรียมไว้แล้วจึงเติมน้ำตาลใสหรือ น้ำตาลอุ่น
ให้ท่วมเชื้อ  ทิ้งไว้ประมาณ  12  ชั่วโมงจึงดื่มได้  เมื่อดื่มน้ำตาลเมาหมดแล้ว  ต้องเติมน้ำตาลใสลงไปแทนที่เดิมอีก  ดังนั้นการดื่มกะแช่จึงอยู่ในช่วงเวลาระหว่างตอนเช้ากับตอนเย็น  กรณีดื่มกระแช่ไม่หมดที่และปล่อยทิ้งไว้เกิน  12  ชั่วโมง  จะทำให้กะแช่เปลี่ยนรส  กลายเป็นน้ำส้มสายชูในที่สุด
        ด้วยเหตุนี้ผุ้นิยมดื่มน้ำตาลเมาจะต้องคอยเปลี่ยนที่หรือเชื้อในเวลาอันควร  โดยนำเอาเปลือกหรือรากมะเกลือของเก่าออกประมาณครึ่งหนึ่ง  แล้วนำของส่วนใหม่เติมลงไปเท่าเดิม  กรณีจะเปลี่ยนที่ใหม่อาจต้องใช้เวลาหมักกะแช่ให้นานกว่าเดิมขึ้นไปอีกหลาย วัน  ทั้งนี้เพราะการทำปฏิกริยาของน้ำตาลเมาจะยังไม่สมบูรณ์พอ
        นอกจากใช้มะเกลือใส่เป็นเชื้อของกะแช่แล้ว  อาจใช้สมุนไพรอื่น  ๆ  ได้อีก  เช่น  ไม้เคี่ยม  ไม้มะค่า  รากมะแว้ง  เถาวัลย์เปรียง  รากหนามพรม  กาฝากต้นมะม่วง  แต่นิยมกันมากคือรากมะเกลือ  เพราะมีรสขมชวนรับประทาน  ที่เรียกว่า  "ขมหล่อม"  อย่างไรก็ตาม  แต่เดิมกะแช่หรือน้ำตาลเมาจัดเป็นเครื่องดื่มที่ผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติ
เครื่องดื่มประเภทมึนเมา  แต่ได้พัฒนาขึ้นจนเป็นเครื่องดื่มประเภทไวน์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย  และเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในโครงการ  หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์อีกด้วย
เคล็ดลับ
ถ้าจะให้น้ำตาลสดเปลี่ยนเป็นกะแช่เร็วๆให้ใส่ ปัสวะ (ที่บ้านผมเรียกว่าเยี่ยว) ลงไปด้วย 1 คืนก็จะได้กะแช่

แหล่งกะแช่ที่มีรสชาดดี (ที่เคยสัมผัสมา)
1.บ้านหนองศาลา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
2.บ้านถ้ำรงค์ ต.ถ้ำรงค์ อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี
3.บ้านโรงเข้ ต.โรงเข้ อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี
4.บ้านเกยชัย ต.เกยชัย จ.นครสวรรค์
ขอบคุณข้อมูลในเนต (ชิมและดื่มแล้ว ของเมืองเพชรสุดยอดครับ)



+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=6901

ออฟไลน์ เฒ่าแก่

  • VIP
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 777
    238
  • เพศ: ชาย
  • ขอพักใจด้วยครับ

เยี่ยมเลยท่านลุง

เรื่องใส่ปัสสาวะนี่ผมเห็นกับตาเลยนะครับ

แต่กระแช่บ้านผมจะหมักข้าวเหนียวนะครับ

สมัยเรียน เวลามีกีฬาสี หมักกันเป็นโอ่ง เมากันกลิ้งเลยครับ

สูตรที่ใช่น้ำตาลจากต้นก็มีครับ จะเป็นหมู่บ้านที่มีตาลเยอะๆน่ะครับ

จะหอมกว่าที่หมักจากข้าว

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=6901

ออฟไลน์ สุบิน

  • เทพ
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 2334
    646
    • อีเมล์

เยี่ยมเลยท่านลุง

เรื่องใส่ปัสสาวะนี่ผมเห็นกับตาเลยนะครับ

แต่กระแช่บ้านผมจะหมักข้าวเหนียวนะครับ

สมัยเรียน เวลามีกีฬาสี หมักกันเป็นโอ่ง เมากันกลิ้งเลยครับ

สูตรที่ใช่น้ำตาลจากต้นก็มีครับ จะเป็นหมู่บ้านที่มีตาลเยอะๆน่ะครับ

จะหอมกว่าที่หมักจากข้าว
:'e:39 เชียงราย-เชียงใหม่ว่า"เหล้าเดือน"ภูมิปัญญาชาวบ้าน ก่อนปีใหม่(สงกรานต์)หมักข้าวเหนียวด้วยแป้งเหล้าหมัก3-7วันอย่าใส่น้ำเพิ่ม ประมาณสิบ-สิบห้าวันเติมน้ำตาลพร้อมน้ำ1 ลิตร ให้ยีสกินน้ำตาลทำปฏิกิริยากับอาหารเดิมคือข้าว อยู่ที่ 35 วันกำลังดี ถึงวันสงกรานต์พอดี เชิญเฒ่าแก่ก่อนเลย อย่าให้หมดเหลือไว้ฮื้อหนุ่มฮ่อมลำปางหนาเฮี๋ยจั๊กหน้อยเน้อ

อีกสูตร-ของกระผมเอง:ผลหม่อนครับลูกสุกๆหมักด้วยยีสส์ ต้องเลี้ยงน้ำตาลด้วย 15 วันกินได้แล้วรสเลิศ ตั้งใจชนที่นักการเมืองคุยนักหนาว่าของเขาแก้วละแสน! ของผมจะเรียกให้เท่ห์ว่า ไวน์มัลเบอรี่(ไวน์หม่อน)ครับ


ลูกหม่อนหรือผลหม่อน ฟังดูเหมือนไม่มีคุณค่าเท่าใด ถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “mulberry” (มัลเบอร์รี่) ฟังดูมีคุณค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้นชาวไทยภูเขาภาคเหนือ เมื่อเก็บผลหม่อนที่ปลูกเป็นไม้ริมรั้วมาจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวหรือชาวไทยพื้นราบจึงเรียกว่า มัลเบอร์รี่บ้าง ราสเบอร์รี่หรือบลูเบอร์รี่บ้าง แล้วแต่จะนึกได้ ขอให้ฟังดูดีขายได้ราคาก็เพียงพอแล้ว ในต่างประเทศนิยมทำอาหารและเครื่องดื่มจากผลไม้จิ๋วกลุ่มเบอร์รี่มากอีกทั้งผลไม้เหล่านี้ยังมีราคาแพง ในรัฐแคลิฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกามีราคาสูงถึง 800 – 1,200 บาทต่อกิโลกรัม อีกทั้งยังนิยมปลูกเป็นไม้บังลม (wind break) รอบสวนองุ่นและสวนผลไม้อื่นๆ เพื่อใช้สำหรับเป็นอาหารของนก ในเมืองบาคู (Baku) เมืองหลวงของอาเซอร์ไบจัน จะพบต้นหม่อนอย่างดาดดื่น ทั้งในสวนสาธารณะ ถนนจากในเมืองถึงชนบท ในสวนผลไม้ที่ปลูกร่วมกับผลไม้อื่นๆ
:'e:37

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=6901

ออฟไลน์ เฒ่าแก่

  • VIP
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 777
    238
  • เพศ: ชาย
  • ขอพักใจด้วยครับ

ขอบคุณครับ สำหรับ    เหล้าเดือน  รับมาด้วยน้ำใจครับ เพิ่งรู้นะครับว่าชื่อเรียกต่างกัน

ผมเคยทานเหล้าข้าวโพดของชาวดอยที่เชียงราย ไปไม่เป็นเลยครับ 555

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=6901