สัพเพเหระ > รูปภาพสวยๆ แปลกๆ เอามาโชว์ครับ

ภาพจิตรกรรม ฝีมือ เลโอนาโด ดา วินชี

<< < (2/5) > >>

ทนาย:

Ginevra de Benci
Leonardo da Vinci

Tempera and oil on panel, 15 x 14 1/4 in., 38.5 x 36.7 cm
Washington, National Gallery of Art
Ginevra De' Benci ภาพนี้เป็นงาน Portrait ช่วงแรกๆของ "Da vin Ci" ที่เขาได้ใช้เทคนิคเกี่ยวกับแสง ที่ชื่อว่า "Chiaroscuro" เข้ามาในงานของเขา การที่เขาใช้เทคนิคนี้นั้นมันได้ทำให้ภาพคนในงานชิ้นนี้นั้น ดูนูน ขึ้นมา และดูมีมิติมากขึ้นคล้ายๆ กับว่าเราสามารถมองดูคนในภาพได้รอบๆตัว ราวกับว่าเป็นงานประติมากรรม ที่สามารถดูได้ทั้ง 3 มิติ รูปคนจะดูลอยนูนขึ้นมาจากพื้นผิวของ Canvas อย่างเห็นได้ชัดเขาได้ทำการผสมผสาน ความแตกต่างเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว และน่าทึ่ง เช่นความมันเงา เวาวาว ใสตรงบริเวณรอนผมที่หยิกเข้ากับ ความมืดมนไม่สดใสตรงบริเวณ ใบของต้นสน สิ่งที่เป็นหัวใจในงานของ Da Vin ci นั้นก็คือ สิ่งที่ Da vin Ci เคยพูดและบันทึกไว้ใน Notebook ของเขาว่า "จิตรกรนั้นควรมีเป้าหมายหลักประการแรกก็คือ การทำพื้นผิวภาพ ที่แบนให้ดูมีรูปร่างที่หนานูนขึ้นมาเป็น 3 มิติโดยให้หลุดออกมาจากพื้นหลัง ด้วยการใช้แสงและเงา ความมืด กับความสว่าง และ Leonardo นั้นเขาเชื่อว่า ความงาม ความวิเศษ และ สุนทรีย์ของภาพเขียนที่ดีเยี่ยมนั้น ไม่ได้อยู่ที่การใช้สีที่สดใสเพียงอย่างเดียว โดยลืมการที่จะทำให้ภาพนั้นนุนขึ้นมาดูเป็น 3 มิติ ด้วยแสง และเงา ซึ่งสีที่สดใสเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถ ที่จะทำให้ภาพๆนั้นเป็นภาพที่ดีและมีมิติได้ "
ทฤษฎีสิ่งที่ Leonardo Da vin Ci พูดไว้และบันทึกไว้ นี้มันได้ปรากฏอยู่ในภาพเขียนของเขาทุกๆภาพและ สิ่งนี้เองที่ทำให้งานของ Da vin Ci ยิ่งใหญ่ งดงาม ซึ่งแม้แต่กาลเวลาก็ไม่สามารถ ลบเลือนความ อัจฉริยะในตัว ของคนที่ชื่อ "Leonardo Da Vin ci" ไปได้แม้แต่เสี่ยววินาที

แสง และ สี ในทฤษฎีของ Da Vin Ci
จริงๆแล้ว Leonardo นั้นเขาศึกษาเรื่องแสงควบคู่ไปกับสีเสมอสิ่งที่เขาสังเกตุเห็นคือ การที่แสงทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงสีในภาพเขียนจึงได้สูตรที่เรียกว่า "Aerial Perspective" สูตรนี้นั้นอธิบายได้ว่า สีต่างๆจะมัว หรืออ่อนจางลงไปเมื่อลำแสง ส่องผ่านอะไรๆในอากาศ ความเข้มจัดของสีที่ลดลงทุกที ตามระยะทางที่ห่างออกไป จากสมุดบันทึกของLeonardoนั้นเขาจะทำการแบ่งประเภทของแสง โดยเขาให้ความสำคัญ กับแสง 3 ประเภทคือ 1 แสงแบบ Universal Light 2 แสงแบบ Specific Light 3 แสงแบบ Reflected Light
จากการที่เขา แบ่งสีออกเป็นประเภทต่างๆได้นั้น ทำให้ Leonardo พบข้อสรุปเกี่ยวกับแสง และสีได้ว่าเราไม่มีวันที่ จะเห็นสีแท้ของวัตถุได้ เนื่องจากมีแสงสะท้อนจากสิ่งอื่นๆรอบข้าง รวมทั้งสีของอากาศที่อยู่ระหว่างตาของผู้ดูทำให ้สีแท้ของวัตถุเกิดการเปลี่ยนแปรทั้งสอง สิ่งนี้คือหัวใจของทฤษฏีแสงและสีของ Leonardo ที่เขาได้ใช้ในงาน ของเขาเกือบทุกชิ้น จนประสบความสำเร็จในงานของเขามาแล้วนั่นเอง

ทนาย:

โทเบียสและเทวดา
(Tobias and the Angel)
ค.ศ. 1470–ค.ศ. 1480
สีฝุ่นบนไม้พอพพลา
หอศิลป์แห่งชาติ, ลอนดอน
อันเดรีย เดล เวอร์ร็อคคิโอและห้องเขียนภาพ (รวมทั้งเลโอนาร์โด?)
ภาพเขียนโดยเวอร์ร็อคคิโอเมื่อเลโอนาร์โดทำงานในห้องเขียนภาพมาร์ติน เค้มพ์ (Martin Kemp) เสนอว่าเลโอนาร์โดอาจจะเขียนบางส่วน, ที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดก็คือปลา เดวิด แอแล็น บราวน์แห่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ, วอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่าอาจจะวาดสุนัขด้วย

ทนาย:

Saint Jerome
ประมาณปี 1480
Tempera and oil on panel, 40 1/8 x 29 1/4 in., 103 x 75 cm
Rome, Musei Vaticani, Pinacoteca Vaticana
ภาพ “ นักบุญเจโรม ” ( St. Jerome ) ชิ้นนี้ ลีโอนาร์โด ดา วินซี ได้เขียนขึ้นในช่วง ค.ศ. 1480 ขณะพำนักอยู่ในนครฟลอเรนซ์ ขณะนั้นเลโอนาร์โดอายุได้ 30 ปี เป็นภาพเขียนสีน้ำมันขนาด 41 1/5 นิ้ว x 30 นิ้ว ปัจจุบันอยู่ในหอศิลปกรรมวาติกัน กรุงโรม และภาพนี้เป็นภาพที่เขียนค้างไว้ยังไม่เสร็จ

ทนาย:

THE ADORATION OF THE MAGI (เดอะ อะดอร์เรชั่น ออฟ เดอะ เมไจ)
1481 - 1482 อยู่ใน พิพิธภัณฑ์ อุฟฟิซี่ (Uffizi) Florence 246 x 243 cm
The Adoration of the magi เป็นภาพร่างสำหรับ ภาพเขียนที่สั่งโดยสำนักบาทหลวงในฟลอเรนซ์ ตามที่นักวิชาการเชื่อกันภาพวาดนี้ เป็นสุดยอดของเลโอนาร์โดก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ที่มิลาน

ทนาย:

พระแม่มารีให้นม (ภาษาอังกฤษ: Madonna Litta) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี จิตรกรสมัยเรอเนซองส์ชาวอิตาลี ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในสหพันธรัฐรัสเซีย

เลโอนาร์โดเขียนภาพ “พระแม่มารีให้นม” ราวปี ค.ศ. 1490 เป็นภาพที่พระแม่มารีกำลังให้นมแก่พระบุตร แต่ท่าทางเก้งก้างของพระบุตรทำให้นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าบางส่วนของ ภาพอาจจะเขียนโดยโบลทราฟฟิโอผู้ เป็นลูกศิษย์ของดา วินชี อีกข้อหนึ่งที่ทำให้สันนิษฐานว่าดา วินชีให้ลูกศิษย์เขียนให้เสร็จคือจากเส้นของของพระแม่มารีและพระบุตรดูแข็ง กว่างานอื่นของดา วินชี และฉากหลังที่เรียบ

ภาพ “พระแม่มารีให้นม” เป็นภาพที่เขียนให้กับตระกูลวิสคอนติประมุขแห่งมิลาน ต่อมาตกไปเป็นของตระกูลลิตตาที่เป็นเจ้าของต่อมาอีกหลายร้อยปี ในปี ค.ศ. 1865, ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 แห่งรัสเซียซื้อจากเคานท์ลิตตา และเก็บภาพไว้ที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจที่เป็นที่ตั้งของภาพมาจนกระทั่งทุก วันนี้ ภาพเขียนปรากฏในภาพยนตร์ รหัสลับดาวินชี

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version