ผู้เขียน หัวข้อ: จากท้องทะเลสู่นา กว่าจะมาเป็น “เกลือสมุทร”  (อ่าน 1646 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ วิทยา

  • VIP
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 576
    1108



จากท้องทะเลสู่นา กว่าจะมาเป็น “เกลือสมุทร”       

   
เกลือที่รวมเป็นกองใน “นาเกลือ” ผึ่งแดดรอแห้ง

       ผลึกสีขาวที่เรียกว่า “เกลือ” คือเครื่องปรุงรสคู่ครัวที่เป็นมากกว่าเครื่องปรุง เพราะเกลือยังสามารถใช้ในการถนอม
อาหาร ในสมัยโบราณเกลือจึงเป็นสิ่งสำคัญของบ้านเมืองที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว โดยในบ้านเรามีการทำทั้งเกลือสินเธาว์
(เกลือที่ได้จากดิน) และเกลือสมุทร (เกลือทะเล) สำหรับ “เกลือสมุทร” หรือเกลือทะเลนั้นได้มาจากการทำนาเกลือ
ซึ่งหลายคนคงเคยเห็นนาเกลือในเวลาที่เดินทางมุ่งหน้าลงใต้โดยใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม
และเพชรบุรี แต่กว่าจะได้ผลึกเกลือที่เรานำมาใช้ปรุงอาหารนั้น มีขั้นตอนมากมายที่น่าสนใจไม่น้อยเลย


รถติด “ลูกกลิ้ง” ใช้ปรับหน้าดิน เครื่องมือทุ่นแรงในปัจจุบัน

       สำหรับอาชีพการทำนาเกลือนั้นเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ต้องใช้ความอดทนในการตากแดดตากลม บวกกับภูมิปัญญา
ชาวบ้านจึงได้เป็นเกลือที่เรานำมาบริโภค และช่วงเวลาที่เหมาะในการทำนาเกลือก็คือเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม
โดยต้องอาศัยพื้นที่ขนาดใหญ่ในการขังน้ำทะเลไว้เพื่อรอให้แห้งจนเกิดเป็นผลึกเกลือ ขั้นตอนในการทำนาเกลือเริ่ม
จากการเตรียมพื้นที่ในการทำนาโดยจะต้องปรับหน้าดินให้เรียบเนียนเพื่อถ่ายเทความร้อนได้อย่างสม่ำเสมอ โดยจะใช้
ลูกกลิ้งในการบดดินให้เรียบ โดยจะมีการกลิ้งวันละ 6 ตลบ ซึ่งคำว่า “ตลบ” หมายถึงการนำลูกกลิ้งกลิ้งให้ทั่วแปลงนา
แล้วปล่อยให้แดดเผานาให้แห้งเรียกว่า 1 ตลบ ปัจจุบันการบดดินง่ายขึ้นเนื่องจากมีการใช้เครื่องจักรมาใช้ ซึ่งทุ่นแรงใน
ขั้นตอนนี้ลงอย่างมาก


“ดีกรี” ใช้วัดระดับความเค็ม

       หลังจากปรับหน้าดินให้เข้าที่แล้วนั้น ก็จะมีการแบ่งพื้นที่นาออกเป็นส่วน 3 ส่วน เรียกว่า “นาตาก” “นาเชื้อ” และ
“นาปลง” ซึ่งแต่ละส่วนและยกขอบคันดินให้สูงเหมือนคันนา โดยจะมีร่องระบายน้ำระหว่างแปลง จากนั้นจะสูบน้ำทะเล
ไปเก็บไว้ในวังขังน้ำหรือบ่อขังน้ำ เพื่อให้โคลนหรือเศษดินตกตะกอน จากนั้นจึงระบายน้ำทะเลจากวังขังน้ำเข้าสู่นาตาก
ซึ่งต้องให้ระดับน้ำสูงประมาณ 5 เซนติเมตร โดยจะปล่อยให้น้ำทะเลระเหยไปกับลมและแดด และจะมีการวัดค่าความเค็ม
อยู่เรื่อยๆ การที่ต้องวัดค่าความเค็มอยู่เสมอนั้น เนื่องจากน้ำทะเลปกติมีระดับความเค็มที่ไม่สามารถตกผลึกเป็นเกลือได้จึง
ต้องมีวิธีการเพิ่มระดับความเค็มด้วยการระเหยของน้ำเรื่อยๆ โดยจะใช้ปรอทในการวัดค่าความเค็มซึ่งชาวนาเกลือเรียกว่า
“ดีกรี” และจะต้องเพิ่มระดับความเค็มของน้ำทะเลปกติจาก 2 ดีกรีให้อยู่ที่ระดับ 25 ดีกรี น้ำทะเลถึงจะกลายเป็นเกลือได้


เกลือที่กำลังตกผลึก

       หลังจากทิ้งน้ำทะเลไว้ได้สักระยะในนาตากและระดับความเค็มเพิ่มขึ้นเป็น 20 ดีกรี ก็จะมีการระบายน้ำจากนาตาก
เข้าสู่นาเชื้อ ซึ่งจะมีระดับความตื้นขึ้นมาอีก และจะมีการบ่มน้ำทะเลด้วยการตากแดดตากลมจนระดับความเค็มเป็น 25 ดีกรี
ก็จะถ่ายน้ำส่งไปยังนาปลง ระยะเวลาตั้งแต่การระบายน้ำเข้าสู่นาตากจนถึงนาปลงประมาณ 45 วัน และหลังจากระบายน้ำ
เข้าสู่นาปลงประมาณ 2 วัน ผลึกเกลือจะตกลงมาและมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างนี้ก็จะปล่อยน้ำจะยังคงระเหยต่อไป
ในขั้นตอนนี้ผลึกเกลือที่ลอยอยู่เหนือน้ำเป็นแพผลึกเล็กๆ นั้นชาวนาเกลือจะเรียกว่า “ดอกเกลือ” ซึ่งการเก็บ
ดอกเกลือนั้นชาวนาเกลือจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อรีบช้อนดอกเกลือ ก่อนที่แสงแดดและลมจะทำให้ดอกเกลือจมลง
ด้านล่าง ดอกเกลือที่เก็บได้นั้นจะมีความละเอียดและมีไอโอดีนสูง เป็นเกลือที่เพิ่งตกผลึกใหม่ๆ ลอยเหนือน้ำไม่ได้
สัมผัสกับพื้นดิน ชาวนาเกลือจึงถือว่าดอกเกลือเป็นเกลือที่ดีที่สุดมีคุณภาพสูง อีกทั้งเพราะมีปริมาณน้อยราคาจึงแพง

โดยส่วนมากจะนำมาผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เช่น เกลือขัดผิว เป็นต้น


ชาวนากำลังใช้ ”ไม้อีรุน” ไถผลึกเกลือให้แตก

       โดยทั่วไป ชาวนาเกลือจะปล่อยให้เกลือตกผลึกอยู่ในนาปลงประมาณ 9-10 วันจึงขูดเกลือออกโดยใช้ “ไม้อีรุน”
ทำการรุนโดยไถไปไถมาให้ผลึกเกลือแตกเป็นเม็ดและใช้ไม้อีรุนลากจัดไว้เป็นแถวและนำมารวมกันให้เป็นกองๆ หลังจาก
นั้นก็จะปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งสนิท หลังจากแห้งสนิทแล้ว ก็จะนำเกลือใส่ถุงนำมาเก็บในยุ้งเกลือเพื่อรอจำหน่าย จะเห็นได้ว่า
กว่าจะมาเป็น “เกลือ” ที่เราใช้นั้นต้องผ่านวิธีในการผลิตที่ต้องใช้ความอดทนในการรอคอย อีกทั้งผลผลิตที่ได้ออกมานั้น
ยังนำไปทำประโยชน์ได้อีกมากมาย อีกทั้งบริเวณนาเกลือตามเส้นทางยังเป็นทัศนียภาพที่ดูสวยงามและเป็นสถานที่
ท่องเที่ยวที่ชวนชมอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย


"ดอกเกลือ"


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นำมาจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000109402


+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=19681