ผู้เขียน หัวข้อ: 10 อันดับ การค้นพบโดยบังเอิญที่กระฉ่อนโลก  (อ่าน 2221 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ วิทยา

  • VIP
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 576
    1108



10 อันดับ การค้นพบโดยบังเอิญที่กระฉ่อนโลก

ความบังเอิญนั้นจริงๆ มันเกิดขึ้นบ่อยพอๆ กับเรื่องไม่บังเอิญนั้นแหละ และหลายๆ ครั้ง เรื่องบังเอิญ ก็มักจะเปลี่ยนแปลง
โลกด้วยนะครับ ทีมงาน toptenthailand ขอนำเสนอ 10 อันดับการค้นพบโดยบังเอิญ

10. Saccharin (ขัณฑสกร)



เชื่อหรือไม่ว่าสารให้ความหวานที่ หวานกว่าน้ำตาล 550 เท่านี้ ถือกำเนิดมาเพราะนักเคมีนาม Constantin Fahlberg
ไม่ได้ล้างมือหลังจากกลับถึงบ้าน! ในปี ค.ศ. 1879 Fahlberg กำลังขมักเขม้นกับการหาวิธีใช้งานน้ำมันถ่านหินอยู่ หลัง
จากเลิกงาน เขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเขากลับถึงบ้าน คว้าขนมปังมากิน ปรากฎว่า มันหวานกว่าปรกติ หลังจากถาม
ศรีภรรยาว่าเธอได้ใส่น้ำตาลเพิ่มไปหรือเปล่า ภรรยาเธอก็ปฎิเสธ แล้วก็บอกว่า รสชาติก็ปรกติดีนิ Fahlberg จึงถึงบางอ้อว่า
รสหวานมันต้องมาจากมือ (ที่ยังไม่ได้ล้าง) ของเขาแน่ๆ วันรุ่งขึ้น เขากลับไปที่ห้องแล็ป และชิมงานทุกอย่างของเขา
จนกระทั่งเจอจุดที่มีรสหวาน

9. Smart Dust



คนส่วนมากมักจะอารมณ์เสีย ถ้าจู่ๆการบ้านของเขาระเบิดใส่หน้าและแตกเป็นชิ้นๆลงบนพื้น แต่ ไม่ใช่นักศึกษา นาม Jamie Link
เพราะในขณะที่ Link กำลังทำการทดลองในงานวิจัยของเธอในมหาวิทยาลัย University of California อยู่นั้น ปรากฎว่า
ชิพซิลิกอนที่เธอกำลังศึกษาอยู่ เกิดระเบิดแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่หลังจากนั้น เธอก็ได้พบว่า ชิ้นส่วนเล็กๆเหล่านี้
ยังสามารถทำงานเป็นเครื่องตรวจจับได้อยู่ ในที่สุดแล้ว "smart dust" นี่เอง ที่ทำให้เธอได้รางวัลสูงสุดในงาน Collegiate
Inventors Competition เมื่อปี 2003 ไปครอง ชิ้นส่วนเล็กๆเหล่านี้สามารถเอาไปใช้หาความบริสุทธิ์ของน้ำดื่ม, หาสารเคมี
ที่เป็นอันตรายในอากาศ แม้กระทั่ง ระบุตำแหน่งเซลล์มะเร็งในร่างกายมนุษย์ได้ด้วย

8. Coke



การ บังเอิญคิดค้นอาหารต่างๆนั้นมีมากมายเหลือเกิน เช่น มันฝรั่งแผ่นที่เกิดเพราะพ่อครัวนาม George Crum รำคาญ
ลูกค้าที่บ่นว่า french fries ที่เขาทำมันอมน้ำมันเหลือเกิน หรือไอติมแท่งที่เกิดเพราะนาย Frank Epperson ลืมน้ำหวาน
ไว้นอกบ้านในคืนที่อากาศหนาว แต่ไม่มีการบังเอิญใดที่จะประสบความสำเร็จเท่ากับโค้กอีกแล้วเพราะเภสัชกรใน แอตแลนต้า
ที่ชื่อ John Pemberton พยายามที่จะคิดสูตรยาสำหรับแก้ปวดหัว เขาใช้ส่วนผสมหลายอย่าง -ที่เป็นความลับจนทุกวันนี้
จนเกิดเป็นโค้กขึ้นมา กว่าโค้กจะเป็นที่นียมได้ ก็ต้องใช้เวลาถึง 8 ปีในร้านขายยาของเขา หลังจากนั้น ถึงจะได้เอาน้ำดำ
มาใส่ขวดขายจนทุกวันนี้

7. Teflon



ในปัจจุบัน สาร CFC (chlorofluorocarbon) ได้ถูกระงับไม่ให้ใช้แล้ว เนื่องจากการทำลายชั้นโอโซนของมัน แต่ย้อนกลับ
ไปในช่วงปี 1930 สารนี้แหละ ที่ทำให้ตู้เย็นพัฒนาขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ช่วงนั้นเอง นักเคมีหนุ่มของ บ.DuPont ที่ชื่อ
Roy Plunkett ก็กำลังคิดค้นสาร CFC ชนิดใหม่อยู่เหมือนกัน เขาคิดเอาไว้ว่า ถ้าเขาสามารถนำส่วนผสมที่เรียกว่า TFE ไป
ทำปฏิกริยากับกรดไฮโดรคลอริคได้ เขาควรจะได้สารทำความเย็นชนิดใหม่ขึ้นมาเมื่อเริ่มทดลอง เขาก็เอาก๊าซ TFE มาแช่เย็น
และอัดใส่ในกระป๋อง เพื่อที่จะเอาไว้ใช้ในตอนหลัง หลังจากทำโน่นทำนี่แล้ว ถึงเวลาเปิดกระป๋องเพื่อที่จะเอากรดใส่ลงไป
ปรากฎว่า ไม่มีอะไรอยู่ในกระป๋อง... ก๊าซหายไปหมดแล้ว ด้วยความโมโห เขาเลยเปิดฝากระป๋องออก แล้วเขย่าๆๆๆ ปรากฎว่า
มีผลึกสีขาวๆร่วงออกมาจากกระป๋อง หลังจากนั้น ก็เป็นโชคดีของแม่บ้านทั้งหลาย เพราะเขาเกิดสงสัยไอ้ผลึกขาวๆเหล่านั้น
และส่งไปให้นักวิทยาศาสตร์คนอื่นใน บ. ดูต่อไป

6. Vulcanized Rubber (ยางวัลกาไนส์)



Charles Goodyear ต้องรอเป็นปีๆ ถึงจะเจออุบัติเหตุที่ทำให้เขานอนตายตาหลับได้ Goodyear ใช้เวลาหลายสิบปีใน
การหาวิธีต่างๆที่จะทำให้ยางมีประสิทธิภาพดีขึ้นในขณะ เดียวกันก็ต้องทนความร้อนและความเย็นด้วย ..แต่เขาก็หาไม่เจอสักที
จนวันนึง เขาทำส่วนผสมของ ยาง, ซัลเฟอร์ และตะกั่ว หกใส่เตาร้อนๆ ความร้อนเผาส่วนผสมทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ทำลายส่วนผสม
นั้น เมื่อ Goodyear หยิบส่วนผสมขึ้นมาดู ปรากฎว่า มันแข็งขึ้น และยังสามารถใช้งานได้อยู่ ในที่สุด... เขาก็เจอการก้าวกระโดด
ที่เขาใฝ่ฝันถึง ส่วนยางที่เขาค้นพบนั้น ปัจจุบัน ก็อยู่ใน ยางรถยนต์, รองเท้า ยันลูกฮอกกี้น้ำแข็ง

5. Plastic



ในปี 1907 ชแล็ก(ครั่ง?)ถูกใช้เป็นฉนวนในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ แถมไม่ใช่ของถูกๆซะด้วย เพราะมันได้มาจากแมลงชนิดหนึ่งใน
แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแน่นอน นาย Leo Hendrik Baekeland นักเคมีว่างงานก็เกิดไอเดียที่จะทำชแล็กสูตรใหม่ขึ้นมา
และโกยกำไรให้กระเป๋าตุง แต่ทำไปทำมา การทดลองของเขาดันทำให้เกิดวัสดุที่ขึ้นรูปได้ และทนความร้อนโดยไม่เสียรูปทรงซะงั้น
Baekeland ตั้งชื่อสารของเขาว่า "Bakelite" แล้วคิดที่จะใช้มันสำหรับเป็นแผ่นเสียง แต่ไม่นานหลังจากนั้น เราก็ค้นพบว่าไอ้สารนี่
มันทำอะไรได้เป็นพันๆอย่างเลยทีเดียว ตั้งกะโทรศัพท์ ยันหน้ากากผี

4. Radioactivity (กัมมันตภาพรังสี)



อยู่สองคำที่คุณคงไม่ ค่อยอยากได้ยินมันอยู่ในประโยคเดียวกันสักเท่าไหร่คือ "อุ๊ย.." กับ "สารกัมมันตรังสี" แต่สำหรับนักฟิสิกส์
นาม Henri Becquerel แล้ว อุบัติเหตุนี่แหละที่ทำให้เขาค้นพบกัมมันตภาพรังสี ย้อนกลับไปในปี 1896 Becquerel ได้มีความ
สนใจกับของอยู่ 2 สิ่ง นั่นคือ สารฟลูออเรสเซนส์ในธรรมชาติ กับ การ X-ray แบบใหม่ เขาได้ทำการทดลองเพื่อที่ จะหารังสี X
โดยจะนำเอาก้อนแร่ฟลูออเรสเซนส์ไปไว้กลางแดด แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่เขาเจอคือ เขาทำการทดลองในหน้าหนาว แล้วกว่า
ท้องฟ้าจะเปิด ก็ปาเข้าไปเป็นอาทิตย์ ดังนั้น เขาเลยทิ้งอุปกรณ์กองๆไว้ในลิ้นชัก แล้วรอให้ถึงวันที่แดดออก เมื่อเขากลับมาทำงาน
Becquerel สังเกตเห็นว่า ก้อนแร่ยูเรเนียมที่เขาทิ้งไว้ในลิ้นชัก ได้ประทับรอยไว้กับแผ่นบันทึกภาพ โดยที่ยังไม่ได้ถูกกับแสงเลย
ดังนั้น เขาจึงคิดว่า ไอ้ก้อนหินนี่ มันต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ เมื่อเขาได้ทำการวิจัยร่วมกับ มารี และ ปีแอร์ คูรี เขาก็สรุปได้ว่า
ไอ้สิ่งนั้นมันคือ กัมมันตภาพรังสีนี่เอง

3. Mauve (สีย้อมผ้า)



ถ้าพูดถึงความเกี่ยวข้องที่มันแปลกๆ แล้ว ลองมาดูนี่หน่อย นักเคมีอายุ 18 ชื่อ William Perkin ที่ต้องการจะรักษาโรคมาลาเรีย
แต่การค้นพบของเขาจะเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่นทั่วโลกอย่างสิ้นเชิง ...อ้อ แล้วก็ช่วยสู้กับมะเร็งด้วย อย่าเพิ่งงง ลองดูนี่ก่อน
ในปี 1856 Perkin ได้พยายามคิดค้นตัวยาควิกนิน แบบใหม่ขึ้นมา แต่แทนที่จะได้ยารักษาโรคมาลาเรีย การทดลองของเขาดัน
ได้สารแหยะๆสีแปลกๆออกมา แต่พอเขาจ้องดูที่สารนั่น เขากลับมองเห็นความสวยงามของมันเรื่อยๆ ปรากฎว่า เขาเป็นบุคคลแรก
ที่คิดค้นสีย้อมผ้าสังเคราะห์ขึ้นมา สีที่เขาทำขึ้น ถ้าเทียบกับสีที่สกัดมาจากธรรมชาติแล้ว เรียกว่าทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น ทั้งสีที่สดกว่า
และยังไม่ตกเวลาซักด้วย นอกจากนี้ การค้นพบของเขาทำให้ วิชาเคมีนั้นกลายเป็นศาสตร์ทำเงิน ซึ่งดึงดูดผู้คนที่มีความคิด
ประหลาดๆเข้ามาในวงการอีกด้วย แต่เรื่องราวของสีนี่ยังไม่จบ เพราะยังมีคนที่ถูกจุดประกายจากงานของ Perkin นั่นคือนักแบคทีเรีย
วิทยาชาวเยรมันที่ชื่อ Paul Ehrlich โดยเขาใช้สีย้อมผ้าของ Perkin ในการเบิกทางค้นคว้า ภูมิคุ้มกันวิทยา (immunology)
และ เคมีบำบัด (chemotherapy)

2. Pacemaker (เครื่องกระตุ้นหัวใจ)



อันดับเหล่านี้ จะไม่สมประกอบเลย ถ้าขาดสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดจากนักวิทยาศาสตร์ที่ใจลอยเวลาทำงาน มันคือเครื่องกระตุ้นหัวใจนี่เอง
เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ช่วยชีวิตคนมานักต่อนักแล้ว และเครื่องกระตุ้นหัวใจที่ถูกยัดใส่ในหน้าอกผู้ป่วยหลายๆรายนี่เอง
ที่เกิดขึ้นมาเพราะวิศวะกรชาวอเมริกาที่ชื่อ Wilson Greatbatch ควานหาของในกล่อง แล้วหยิบของขึ้นมาผิดชิ้น... ไม่ได้โม้
แต่เป็นเรื่องจริง Greatbatch กำลังสร้างวงจรที่จะช่วยบันทึกเสียงหัวใจที่เต้นเร็วๆอยู่ ปรากฎว่า เมื่อเขาล้วงไปในกล่องที่เก็บ
ตัวต้านทานไว้ แทนที่จะหยิบตัวต้านทานขนาด 1เมกะโอห์มขึ้นมา เขาดันหยิบตัวต้านทานขนาด 10,000โอห์มขึ้นมาแทน
ปรากฎว่า วงจรที่เขาทำเสร็จ ได้ส่งคลื่นออกมาเป็นเวลา 1.8มิลลิวินาที แล้วหยุดไป 1 วินาที แล้วก็ส่งคลื่นออกมาใหม่
ซ้ำๆไปเรื่อยๆ จนเป็นเสียงที่ทุกๆคนคุ้นหูกันดี นั่นก็คือเสียงหัวใจเต้นนั่นเอง

1. Penicillin



คุณๆท่านๆที่อ่านจนถึงนี่คงสงสัยอยู่ในใจว่า แล้วเพเนซิลินล่ะ หายไปไหน? แน่นอน สุดยอดแห่งการค้นพบโดยอุบัติเหตุ ที่รู้จักกันมาก
ที่สุดในศัตวรรตที่ 20 คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพเนซิลินนี่แหละ ถ้าคุณอาศัยอยู่ในถ้ำ ตลอด 80 ปีที่ผ่านมา และไม่รู้จักเพเนซิลินนี่
ล่ะก็ ข้างล่างนี่คือประวัติการค้นพบของมัน Alexander Fleming ลืมที่จะทำความสะอาดโต๊ะทำงานของเขา ก่อนที่จะไปพักร้อนในปี
1928 พอเขากลับมา เขาก็เจอกลุ่มราประหลาดอยู่บนเชื้อที่เขาเพาะไว้ แล้วยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ เพราะแบคทีเรียที่เขาเพาะไว้ ไม่เข้ามา
กล้ำกรายรอบๆเชื้อราเหล่านี้เลย จากนั้นมา เพเนซิลินก็กลายเป็นยาปฏิชีวนะตัวแรก และยังนิยมใช้กันเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นำมาจาก
http://www.clipmass.com/story/71738


+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=18619

ออฟไลน์ มิกิ

  • VIP
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 134
    255
  • เพศ: หญิง
    • อีเมล์

ความรู้มากค่ะว่าแต่ โค้กคือยา ? =[   ]= !!!! ช็อคแป๊บ

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=18619

ออฟไลน์ คาร์บอย

  • มืออาชีพ
  • **
  • ออฟไลน์
  • 100
    6

มันยอดเยีี่ยมมาก ขอบคุณครับคุณวิทยา :'e:94

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=18619

ออฟไลน์ วุฒิชัย สงขลา

  • มือสมัครเล่น
  • **
  • ออฟไลน์
  • 32
    10

"รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม"

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=18619