ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติ "อังกะลุง"  (อ่าน 6865 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ สุขใจ

  • มืออาชีพ
  • **
  • ออฟไลน์
  • 84
    88
  • เพศ: หญิง
  • ปล่อยให้กรรม ทำหน้าที่ของมัน
ประวัติ "อังกะลุง"
« เมื่อ: 27/ธ.ค./14 10:02น. »


ประวัติ อังกะลุง



อังกะลุงมีต้นกำเนิดจากประเทศชวา ทำด้วยไม้ไผ่เป็นท่อน ๆ แขวนไว้เป็นตับ ตับละ 2 ท่อน ใช้ถือคนละ 1 ตับ

บรรเลงโดยใช้เข่ากระแทกกระบอกไม้ไผ่ที่แขวนไว้ในราง ให้ส่วนล่างของกระบอกกระแทกตัวราง กระบอกไม้ไผ่จะเกิดเสียงดังตามที่เทียบกระบอกเสียงไว้ เป็นเสียงสูงหรือต่ำ

ซึ่งกระบอกไม้ไผ่จะมีขนาดใหญ่ กลาง เล็ก มีทั้งหมด 5 เสียง ผูกแขวนเป็นตับ ๆ ดนตรีชนิดนี้เรียกว่า “อุงคะลุง”


อังกะลุงในประเทศไทย

อังกะลุง เข้ามาในประเทศไทยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี

พระองค์ทรงแนะนำและอนุญาตให้สมเด็จเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าพระยาภานุพันธ์ วงศ์วรเดช เสด็จประพาสยังประเทศชวา

พร้อมด้วยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ในวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2450

สมเด็จเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าพระยาภานุพันธ์ วงศ์วรเดช จึงเสด็จจากกรุงเทพมหานคร มุ่งไปยังเมืองได ของประเทศชวา (ประเทศอินโดนิเชีย) เป็นแห่งแรก

และทรงตั้งพระทัยว่า จะเสด็จไปยังตำบลมาโตเออ เมื่อเสด็จถึงตำบลมาโตเออ พวกประชาชนประมาณ 10 หมู่บ้าน ต่างพากันต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติ

โดยจัดดนตรีนำมาแสดงถวายให้ทอดพระเนตร ประชันกันถึง 7 วง พระองค์สนพระทัยวง อุงคะลุงเป็นพิเศษ


เมื่อพระองค์เสด็จกลับประเทศไทย จึงมีรับสั่งให้กงศุลไทยในชวา ซื้อดนตรีชนิดนี้ส่งมา 1 ชุด ภายในปี พ.ศ. 2451 แล้วทรงนำดนตรีชนิดนี้ฝึกสอนมหาดเล็กของพระองค์ในวังบูรพาก่อน

จึงเกิดมีดนตรีชนิดนี้ขึ้นในประเทศไทย ต่อมาได้แพร่หลายออกไปทั่วประเทศ ซึ่งคนไทยเรียกว่า “อังกะลุง”

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ได้มีการพัฒนาอังกะลุงเพิ่มเป็น 3 กระบอก

ลดขนาดให้เล็กและเบาลง เพิ่มเสียงจนครบ 7 เสียง และได้พัฒนาการบรรเลงจากการไกวเป็นการเขย่าแทน นับว่าเป็นต้นแบบของการบรรเลงอังกะลุงในปัจจุบัน


** ตัวเราเองจำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ เคยดูรายการทีวี ช่องใดจำไม่ได้แล้ว เขาบรรเลงเพลงอังกะลุงให้ฟัง รู้สึกเสียงมันไพเราะจับใจมาก ฟังแล้วเพลิน **

** ถ้าเพื่อน ๆ อยากฟัง ค้นหาจากใน Google น่าจะพอมีนะคะ **


ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=32074