ผู้เขียน หัวข้อ: กวีวรรค  (อ่าน 6351 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
กวีวรรค
« เมื่อ: 23/มี.ค./13 10:37น. »


   กระผมเป็นเด็กบ้านนอก  สมัยเด็กประมาณ ม.1 เรียกว่าพออ่านหนังสือแตก
ก็ถูกใช้ให้อ่านหนังสือให้ปู่ย่าแก่ๆฟัง  หนังสือที่นำมาอ่านก็จำพวกประเภท
"....บาทขาดราคาเชิญมาซื้อ    ร้านหนังสือหน้าวัดเกาะเพราะนักหนา  ราษฎร์
เจริญโรงพิมพ์ริมมรรคา  เชิญท่านมาซื้ออ่านดูจะรู้ดี......." เป็นหนังสือนิทานคำกลอน
จักร์ๆวงค์  จึงเลยคุ้นเคยกับกลอน  นานเข้ามันฝังอยู่ในสายเลือด  ทำให้ชอบบท
ร้อยกรองที่เป็นกลอนซึมซับติดตัว
   โตขึ้นมาเป็นเด็กม.4-ม.5 ก็ริอ่านเขียนมันเสียเองบ้าง  ทั้งร้อยแก้วร้อย
กรอง  เขียนเองอ่านเอง   เขียนให้เพื่อนอ่านบ้าง  หลุดไปถึงครูบ้างบางครา  ครูชม
เชยให้กำลังใจ   เลยได้ใจส่งไปหนังสือพิมพฺ์สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงการศึกษา  เช่น
ชัยพฤกษ์ วิทยาสาร  ได้ลงเผยแพร่อยู่บ่อยครั้ง   นี่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ฮึกเหิมที่จะเป็น
นักเขียนกลอนกะเขาบ้าง
   ไปสมัครเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์เปลื้อง ณ นคร  ซึ่งเปิดสอนวิชาการ
ประพันธ์และหนังสือพิมพ์ทางไปรษณีย์   มีผู้สนใจเรียนกันมากแต่จะผ่านจนจบกี่คน
จำไม่ได้ จำได้แต่ตัวเองไม่จบหลักสูตร อาจารย์เปลื้องแกเป็นบรรณาธิการชัยพฤกษ์
อยู่ด้วย มีคอลัมน์สอนร้อยกรองในหน้าชัยพฤกษ์  ใครหัดเขียนกลอนก็ส่งไปลงแล้วอาจารย์
แกจะวิจารณ์ทั้งการใช้คำ การสัมพันธ์ทางฉันทลักษณ์และอักษร  จนมีผู้มุมานะเอาจริงเอาจัง
เก่งได้หลายคน
   ตั้งใจจะเขียน"กวีวรรค" อันเป็นบทกวีที่กินใจหรือที่ในวงการเขาเรียกกันว่า
"วรรคทอง" แต่กลับมาเรื่อยเจื้อยไม่เข้าเรื่องสักที  เอาเป็นอันว่าตอนต่อไปจะเข้าเรื่อง
แล้ว.
   

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 23/มี.ค./13 18:27น. »

บทกวีที่เขียนขึ้นมาโดยนักกวีตั้งแต่โบราณมาแล้ว  มักจะมีจุดมุ่งหมายหรือเนื้อ
หาของการเขียนว่าจะเป็นไปในรูปใหน  สื่อถึงอะไร  เขาขีดเส้นแบ่งเป็นแนวทางใหญ่ๆอยู่
2 อย่างคือ
   1.กลุ่มวรรณศิลป์ เป็นการเขียนสื่อถึงความงามของธรรมชาติ ความรักความเพ้อฝัน
   2.กลุ่มกวีก้าวหน้า เนื้อหาหรือจุดมุ่งหมายคือการบ้านการเมือง ชนชั้นของสังคมหรือ
เศรษฐกิจ
   ก็คล้ายๆกับการแบ่งของวงการเพลง เป็นลุกทุ่ง ลูกกรุงและเพื่อชีวิต
   และในแต่ละประเภทก็มีบทร้อยกรองที่ดี  เป็นที่จับใจผู้อ่าน  สร้างความสะเทือนอารมณ์
อยู่มากมาย  อันเป็นส่วนที่ได้รับการเล่าขานยกย่องกันสืบมา   ส่วนนี้เขาว่ากันว่าเป็น"วรรคทอง"
ของวงการกวี
   วรรคทองมีในทุกประเภทของบทร้อยกรอง  ไม่ว่าจะเป็นกลอนรัก หรือกลอนเพื่อชีวิต
ความนิยมชมชอบในวรรคทองก็แล้วแต่ผู้เสพย์รับที่จะเลือก  ซึ่งบางวรรคทองยังได้รับความชื่นชมเล่าขาน
หรือนำมาใช้สืบต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย
   ธงชาติไทยไกวกวัดสะบัดพริ้ว
   แลริ้วริ้วสลับงามเป็นสามสี
   ผ้าผืนน้อยบางเบาเพียงเท่านี้
   แต่เป็นที่รวมชีวิตและจิตใจ

   ชนรุ่นเยาว์ยืนเรียบระเบียบแถว
   ดวงตาแน่วนิ่งตรงธงไสว
   "ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย"
   ฟังคราวใดเลือดซ่านพล่านทั้งทรวง

   ผืนแผ่นดินถิ่นนี้ที่พำนัก
   เราแสนรักและแสนจะแหนหวง
   แผ่นดินไทยไทยต้องครองทั้งปวง
   ชีพไม่ล่วงใครอย่าล้ำมาย่ำยี

   เธอร้องเพลงชาติไทยมั่นใจเหลือ
   พลีชีพเพื่อชาติที่รักทรงศักดิ์ศรี
   เพลงกระหึ่มก้องฟ้าก้องธาตรี
   แม้ไพรีได้ฟังยังถอนใจ

   แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไทยร้าวใจเหลือ
   คือเลือดเนื้อเป็นหนอนคอยบ่อนไส้
   บ้างหากินบนน้ำตาประชาไทย
   บ้างฝักไฝ่ลัทธิชั่วน่ากลัวเกรง

   ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง
   แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
   ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง
   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง!
   
   จากบทกวีชื่อ"เพลงชาติ" ของ รศ.นภาลัย (ฤกษ์ชนะ)สุวรรณธาดา คัดลอกมาจากหนังสือ
ดอกไม้ใกล้หมอน  ในบทสุดท้ายที่ว่า"...ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง...."จนถึง"...จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง"
เป็นวลีที่กินใจเร้าอารมณ์อย่างยิ่ง  สื่อต่างๆนำมายกเป็นอุทาหรณ์หลายสิบปีมาแล้ว จนกระทั่งทุกวัน
นี้ความหมายนี้ก็ยังเหมาะกับยุคสมัย  นี่คือวรรคทองขอรับ .
   

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ รุ่นโบราณ

  • มืออาชีพ
  • **
  • ออฟไลน์
  • 117
    30
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 24/มี.ค./13 10:01น. »

          วรรคทองที่ประทับในความทรงจำจนเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งกลอนของผมในทุกวันนี้  ส่วนใหญ๋เป็นวรรคทองที่คุ้นหูผู้นิยมโคลงฉันท์กาพย์กลอนทุกคน  และส่วนมากเป็นบทประพันธ์ของบรมครู"สุนทรภู่"  มาจากทั้งในวรรณคดี นิราศ ต่างๆอาทิ

....แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน(จากพระอภัยมณี ตอนสุดสาคร)

จะเห็นว่านอกจากสัมผัสนอกสัมผัสในแพรวพราวสร้างความไพเราะโดดเด่นในบทประพันธ์แล้ว  ยังมีความหมายมีการเปรียบเทียบอันลึกซึ้งถึงสัจจธรรมอันทำให้บทประพันธ์ทรงคุณค่า  บทกวี"ชาติไทย"  ที่คุณชบาบานนำมากล่าวถึงก็เป็นอีกบทที่ตราตรึงในความทรงจำเพราะนอกจากความไพเราะเพราะพริ้งในผลงานแล้ว  ยังเป็นงานศิลปที่สร้างอารมณ์กระทบใจอย่างรุนแรงจนเลือดรักชาติพุ่งพล่านสมเจตนารมณ์ผู้ประพันธ์  สมควรประทับเป็นวรรคทองในดวงใจและนำไปเป็นแบบอย่างครับ 

ขอบคุณที่นำเสนอบทความดีๆครับ



ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 24/มี.ค./13 12:23น. »

กราบขอบพระคุุณท่าน"รุ่นโบราณ" ที่เข้ามาแจมด้วย กราบเรียนเชื้อเชิญท่านอื่นๆด้วยนะขอรับ  อ่านกลอนกันไป เขียนอะไรกันไปตามประสาคอร้อยกรอง  มีอะไรจะคุยกันเล่าถึงกันได้
ก็ว่ามา(ในเรื่องบทกลอน)  ท่านรุ่นโบราณก็มีอะไรต่อมิอะไรมากมาย  เขียนสู่กันอ่านเถิดขอรับ  สำหรับ"วรรคทอง"ยังมีอีกยืดยาว ขอให้ติดตามกันต่อไปนะขอรับกระผม

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ แม็ท

  • Global Moderator
  • *
  • ออฟไลน์
  • 763
    717
  • เพศ: ชาย
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 25/มี.ค./13 10:05น. »

ด้วยสงสัย ในวจี กวีวรรค
พึ่งประจักษ์ กาพย์ โคลง กลอน วอนสืบสาน
ขอขอบคุณ คุณลุง 'ชบาบาน'
รวมทั้งท่าน 'รุ่นโบราณ' สานต่อเติม

วอนมวลมิตร พี่น้อง ทั้งผองเพื่อน
ไม่ลืมเลือน เตือน,ชี้แจง แต่งมาเสริม
ร้อยอักษร กาพย์กลอนไว้ ให้เมือนเดิม
ช่วยกันเพิ่ม เติมแต่ง มาแบ่งปัน

เนื่องข้าฯน้อย ด้อยวาจา ภาษาศิลป์
พึ่งหัดบิน เรียงภาษา มาสร้างสรรค์
มาฝากชาว 'เพลงพักใจ' ให้รู้กัน
ฝากไว้ก่อน แค่สั้นสั้น สามบทเอย


ขอคารวะครับท่านคุณลุง ชบาบาน ผมเองก็ไม่ค่อยรู้ลึกมากนัก เกี่ยวกับ กาพย์ กลอน แต่ก็พอมาอ่านที่คุณลุงอธิบายไว้ ถึงได้เข้าใจ ก็ขอฝากท่านอื่นๆด้วยนะครับที่พอจะแต่งบทกลอน บทประพันธ์กันได้ ก็มาลองแบ่งปันๆกันครับ จะได้มีอ่านกันเรื่อยๆ ขอบคุณครับ



ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25/มี.ค./13 10:11น. โดย แม็ท เมืองชล »

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 25/มี.ค./13 15:36น. »

ท่าน"แม้ท เมืองชล" ก็มาแล้ว ด้วยบทกลอนที่เจ้าตัวว่ายังไม่สันทัด  แต่ที่จริงท่านก็มีฝีไม้ลายมือหาด้อยกว่าผู้อื่นไม่  ขอบพระคุณขอรับกระผม มาอีกนะ
มาบ่อยๆยิ่งดี 

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 25/มี.ค./13 16:22น. »

อาจารย์นภาลัย ฤกษฺ์ชนะ  เป็นประธานชมรมวรรณศิลป์จุฬาฯ ในปี2507 ทำงานเป็นครู
ทำงานธนาคาร  เคยไปเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยที่ฮันกุ๊กเกาหลีใต้อยู่ประมาณ10 ปี คู่ชีวิตอาจารย์ก็เป็น
นักกลอนฝีมือดีเช่นกัน  กลับจากเกาหลีก็ทำงานหนังสือพิมพ์ ในที่สุดก็เข้าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมมาธิราช
   อาจารย์ นภาลัยฝักไฝ่เรียนรู้เกี่ยวกับกลอนมาตั้งแต่ชั้นมัธยม  แข่งขันการเขียนบทกวีได้รางวัล
ชนะเลิศมาหลายครั้งหลายหน  ลีลากลอนแปดของท่านหลือร้าย  ใช้ถ้อยคำที่สวยงามสละสลวย  และความคิดอ่าน
ทันสมัยเสมอมา  เคร่งครัดต่อฉันทลักษณ์  เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษา  มีบทกลอนที่ดีๆออกมามากมาย เนื้อหาของ
แต่ละบทสร้างสรรชัดเจน  การเลือกใช้ถ้อยคำกระทัดรัดแต่ความหมายยิ่งใหญ่  พรรณาโวหารลึกซึ้ง สำผัสเรียง
ร้อยถ้อยคำลื่นไหลสดสวย  หามาอ่านประทืองปัญญาและอารมณ์กันเถิดขอรับ

   หมอบพับเพียบเลียบริมน้ำปริ่มฝั่ง
   ตะแคงฟังนิยายเพลินจากเนินหญ้า
   ระบำมดคดเคี้ยวลับเคียวตา
   หยาดน้ำฟ้าลากลิ้งทิ้งใบบอน

   แมลงปอเกาะหินเลื่อมปิ่นรุ้ง
   ผีเสื้อพุ่งอวดแพรแผ่ปีกร่อน
   กิ้งกือหักความอายออกกรายกร
   กะรอกหย่อนลูกหว้าหยั่งท้าทาย

   เมื่อเอนพิงอิงพักหนุนตักหล้า
   แนบเงาฟ้าในน้ำเปี่ยมความหมาย
   ธรรมชาติวาดแต้มอย่างแย้มพราย
   และโลกส่ายกายหมุนด้วยคุ้นเคย

   เหม่อมองฟ้าสีฟ้ากว้างกว่ากว้าง
   คิ้วรุ้งค้างเนตรสูรย์มุ่นหมอกเสย
   แย้มเสี้ยวเมฆยิ้มแดดสีแสดเอย
   หัตถ์ลมเชยเผยแก้มแพลมยิ้มพลัน

   แล้วสบตากับเรา-เงาในน้ำ
   ไหลลำนำฉ่ำใจคล้ายเคลิ้มฝัน
   พิสุจนิ์ใสไล้หล้ารับตาวัน
   กล่อมดวงขวัญล่องลิบทิพยา
   
   เรามองโลกสดใสในวันนี้
   ด้วยใจที่อ่อนวัยไร้เดียงสา
   ทุกสิ่งช่วยอวยสุขทุกเวลา
   หากวันหน้าเป็นอย่างไร....ไม่อาจรู้

   จากบทกลอน"ห้วงคำนึง ของ จิรนันท์ พิตรปรีชา คัดลอกจาหนังสือ"ใบไม้ที่หายไป"
ชื่อนี้คอหนังสือย่อมประจักษ์ว่าเป็นเช่นไร  รางวัลซีไรท์ปี2532 เป็นหลักประกันความยิ่งใหญ่
อลังการ์ของกวีสาวชาวเมืองตรัง! 



+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 29/มี.ค./13 21:07น. »

ดูเหมือนบทกลอนห้วงคำนึงนี้  จะเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษา
อยู่กระมัง  เนื้อหาจึงค่อนข้างพรรณาธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่  กระผมชื่นชอบอยู่วรรคหนึ่ง ที่
เป็นวรรคทองในใจตัวกระผมเอง  คือคำว่า"...ระบำมดคดเคี้ยวจากเรียวตา..." มันบอกไม่ถุกว่าอารมณ์ความรู้สึก
เป็นเช่นไร  คำคำนี้ให้ความหมายสุดที่บรรยายได้จริงจริง  เพียงหลับตาเห็นภาพตามนั้น  นี่เป็น
ความสามารถพิเศษที่นักกลอนท่านอื่นทำไม่ได้เหมือนท่าน
   หลังเหตุวิปโยคครั้งใหญ่  ถือเป็นยุคใหม่ของท่านกวีผู้นี้  จากหนุ่มสาวสลักเสลาบทกลอนอ่อนหวาน
มาเป็น"....เปลี่ยนมือที่อ่อนนิ่มเป็นลิ่มเหล็ก"  ข้อคิดข้อเขียนที่ทยอยออกมาแข็งแกร่งกร้าวกร้านด้วยความรู้สึก แม้ถ้อยคำที่
ใช้ก็เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งอุดมการณ์  บทกลอนที่ออกจากป่าจึงมีชีวิตชีวา  เช่น..
   ....จากอ้อมอกมารดามานอนดิ้น   
   เลือดคลุกดินมารดา ใช่! กล้าแกล้ว
   เหนือสุสานลานสละแต่ละแนว
   ยังคงแผ่วเสียงพร่าการฆ่าฟัน

   ก้อนเมฆขาวคงขุ่นข้องต้องร่ำไห้
   แม้ฝนใสไม่อาจล้างได้อย่างฝัน
   กลางไฟฟ่องฟองเลือดดินเดือดควัน
   ธงแห่งสันติภาพชูอยู่แสนไกล.....
   ความจริงงานของ จิระนันท์ พิตรปรีชา  มีออกมาหลายชุด  แต่ชุด"ใบไม้ที่หายไป"นี่ถือได้ว่า
เป็นชุดอลังการณ์สำหรับเธอทีเดียว  ท่านใดที่ยังขาดอยู่ลองเสาะหามาอ่านดู





+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 17/เม.ย./13 20:50น. »

             สมัยที่ยังหนุ่มแน่น  ไฟฝันในฉันทลักษ์กำลังรุ่งโรจน์  กระผมติดตามอ่านบทกวีทุกรูปแบบ
แต่ช่วงนั้นวงการกวีอยู่ในยุคของ"เฟื่องการรัก "  กลอนที่เกี่ยวกับความรักได้รับความนิยมสูงสุด  นัก
กลอนมือดีสลักเสลาบทกลอนออกมามากมาย  เกิดกวีมากหน้าหลายตา 
   มีนักเขียนกลอนอยู่ท่านหนึ่ง  กระผมนับถือเป็นอาจารย์  เป็นแม่แบบ  ตั้งแต่บัดนั้น จนทุกวันนี้
ท่านนั้นคือ" เจษฎา วิจิตร" ท่านนี้เขียนกลอนรักได้เยี่ยมมาก  กระผมหลงใหลเอามากๆ ขอยกเอามาสักบท
        ถ้าไม่รักเธอได้จะไม่รัก 
   จะยอมหักเหใจไปทางอื่น
   ถ้าลบวันเก่าเก่าได้จะให้คืน
   ทั้งความชื่นความช้ำแล้วอำลา

   เมื่อแรกรักปักใจมิได้คิด
   ว่าจะผิดจนเป็นข้อครหา
   เราต่างทั้งฐานะปริญญา
   ต่างจนค่าหัวใจแทบไม่มี

   เพราะเธอสูงสุดสอยเหมือนลอยฟ้า
   จึงกดค่าความรักสิ้นศักดิ์ศรี
   เมื่อรักสอนหัวใจให้ใยดี
   ก็เหมือพลีตนเป็นทาสอำนาจเงิน

   ด้วยเธอดีมีค่ายิ่งกว่าแก้ว
   จึงควรแล้วที่ฉันจะสรรเสริญ
   ยอมสละละชั่วไม่มัวเพลิน
   คนยังเมินหน้าเยาะว่าเพราะกลัว

   รวมความแล้วคุณค่าหาไม่ได้
   ทำดีไปคนเขาก็เฝ้าหัว
   เลวก็ว่าไม่รู้สึกสำนึกตัว
   จึงคนชั่วเกินจะปรับตนกลับคืน

   ถ้าไม่รักเธอได้จะไม่รัก
   จะยอมหักเหใจไปทางอื่น
   แต่ใจเอ๋ยน่าชังรักยั่งยืน
   สุดจะขืนหัวใจมิให้รัก!.
   
   กลอนบทนี้ออกมาในราว พ.ศ.๒๕๑๑ แม้เวลาจะล่วงเลยมานานเป็นครึ่งศตวรรษ
แต่เนื้อหาถ้อยคำสำนวนยังทันสมัยอยู่เสมอ  นี่คือลีลาของ"เจษฎา วิจิตร" คนที่กระผมเคารพเป็น
อาจารย์  จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าท่านยังอยู่ดีหรือไม่  ไม่อาจทราบได้  ท่านใดพอจะรู้ข่าวคราว
เมตตาเขียนเล่ามาบ้าง.
   



+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 23/พ.ค./13 10:41น. »

ขอเขียนถึงยอดกวีหญิงอีกท่านหนึ่ง  ที่กระผมยอมซูฮกให้เป็นสุดยอดกวีหญิงที่ใช้คำได้
ไพเราะกินใจ   คำแต่ละคำที่ใช้มันลึกซึ้งสะท้านทรวงทีเดียว!!
   สงสารตาที่ทวงถามความเป็นเพื่อน
   รู้ก็เหมือนไม่รู้อยู่ทุกสิ่ง
   ยิ่งคิดมากยากเลือนเธอเพื่อนจริง
   จึงได้ยิ่งปลีกตนยอมทนทุกข์
   
   ทุกทุกแห่งที่เราเคยก้าวย่าง
   ทุกทุกทางที่เราเศร้าและสุข
   ทุกทุกหนเราซานซมล้มแล้วลุก
   ทุกทุกครั้งที่เราปลุกปลอบแก่กัน

   แม้ทั้งหมดจดจำไว้ล้ำลึก
   นึกและนึกในใจยังไหวหวั่น
   หวาดวันที่จะมาถึงเข้าหนึ่งวัน
   วันที่ผันเราพรากจากกันไกล

   เดี๋ยวนี้ซ่อนตาเสมอกลัวเธอรู้
   ฉันคือผู้มีพิรุธสุดหวั่นไหว
   มิอาจเล่าทุกสิ่งจากจริงใจ
   มีอะไรอย่างหนึ่งซึ่งปิดบัง

   โอ้ว่าเพื่อนจะได้คิดสักนิดไหม
   ทุกวันนี้หวั่นไหวเจียนใจคลั่ง
   ความรู้สึกหนึ่งแปลกแทรกประดัง
   รอแต่ยังจะอ่อนแอพ่ายแพ้ลง

   ถ้าวันไหนไผลเผลอให้เธอรู้
   ฉันคือผู้สิ้นศักดิ์ลงรักหลง
   ความอับอายมานะและทะนง
   มันก็คงจะพรากฉันจากเธอ.
   
   จากบทกลอนชื่อ"เพื่อน" ในหนังสือ"เพลงพร"ของ"นิภา บางยี่ขัน"
นักกลอนสาวชั้นแถวหน้าของวงการ 
   นิภา บางยี่ขัน  เขียนบทกวีได้อารมณ์ที่ดื่มด่ำล้ำลึก  ใช้คำที่ให้ภาพพจน์ชัดแจ้ง
สอดแทรกวรรคทองไว้มากมาย  แต่ที่โด่งดังจนยากจะลืม  ผู้คนที่เวียนว่ายในวงวรรณ ต่าง
จดจำผลงานของ นิภา บางยี่ขันบทที่ว่า
   ภาพคืนวันพระจันทร์พริ้มน้ำปริ่มเขื่อน
   ลงลอยเลื่อนเรือนักรักภาษา
   นั่งท้าวแขนบรรสานขานสักวา
   ชนะกลอนแพ้ตา..จึงปราชัย
   คัดลอกบทนี้จากหนังสือ"นิราศกรุงเก่า" เป็นการรวมบทกวีที่ร่วมกันแต่งของ
นักกลอนร่วมสมัย 48 ท่าน  ในการลงเรือเพลงล่องเจ้าพระยา  การประพันธ์ในลักษณะนิราศ
พิมพ์ในปี 2528
   บทกวีที่ยกมากล่าวถึงนั้นเข้าใจว่าท่าน"นิภา บางยี่ขัน"แต่งร่วมในคราวนั้น  และ
เป็นการแต่งแบบถอดใจมาเลย  เพราะผู้ร่วมเรือเพลงครั้งนั้นมีท่านหนึ่งได้เป็นผู้ร่วมนาวาชีวิต
กับท่านนิภา บางยี่ขัน ในชีวิตจริง.

   

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ สหัสวรรษ

  • เซียน
  • ****
  • ออฟไลน์
  • 568
    65
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 23/พ.ค./13 11:02น. »

เห็นกระทู้กลอนของโปรดแล้ว อ้ะ ไม่ได้ต้องร่วมแจมหน่อย เห็นกลอนแล้ว ก็นึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยเรียน ได้อ่านกลอนเก่าๆ ความรู้สึกเก่าๆที่เคยลึมก็สามารถรื้อฟื้นขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับเพลง น่าแปลกนะ

จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งเกิดมีอารมณ์สุนทรีย์นึกถึงบทกลอนพระราชนิพนธ์ ร.5เรื่องเงาะป่า ตอนนางลำหับเดินชมดอกไม้ไปตามทาง จำได้เลาๆ เลยค้นหาในเว็บ แปลกนะหาไม่เจอเลย ผมนึกฮึดขึ้นมาเลยไปนั่งค้นหาในห้องสมุดประชาชน เจอแล้วเลยจดไว้และเอามาเผื่อแผ่เพื่อนๆที่ร่วมสมัยและมีความรู้สึกที่คล้ายๆกันหน่อย

เมื่อนั้น
นวลนางลำหับพิศมัย
ครั้นรุ่งรางส่างแสงอโนทัย
ทรามวัยแต่งตัวไม่มัวมอม
สวมมะกล่ำกำไลสายสร้อย
ตุ่มหูพวงห้อยดอกไม้หอม
หวีไม้ไผ่บรรจงเป็นวงค้อม
ล้วนรายล้อมเหน็บประดับรับมวย   
แล้วจับจองคล้องไหล่ไว้เบื้องหลัง
ไม่รุงรังเข้าทีดูดีสวย
ชวนไม้ไผ่ลีลาศนาดนวย
รื่นรวยเข้าในดงพงพี   
ครั้งถึงซึ่งที่มีบุปผา                  
ดวงสุดาปรีดิ์เปรมเกษมศรี
กรีดเล็บเก็บพวงสุมาลี                  
นารีขับเพลงบรรเลงใจ   
ยามเช้า                                 
อุระเราชื่นแช่มแจ่มใส
สู้บุกป่ามาดมชมดอกไม้    
ข้าขอบใจมาลีที่เบิกบาน
เหมือนมาลีมิให้เรามาเก้อ   
เผยเผยอกลีบประทินกลิ่นหอมหวาน
สายหยุดดกย้อยห้อยพวงยาน   
กลิ่นซาบซ่านนาสาดอกน่าเชย
มะลิวัลย์พันกอพฤกษาดาด   
เหมือนผ้าลาดขาวลออหนอน้องเอ๋ย
รสสุคนธ์ขึ้นเป็นดงอย่าหลงเลย   
กำลังเผยกลีบเกสรสลอนชู
โน่นแน่อุ๊ยสารภีไม่มีใบ                 
เหมือนต้นไม้ทองตั้งอยู่ทั้งคู่
แมลงล้อมตอมว่อนเสียงหวี่วู    
ไม่มีผู้ช่วยสอยน้อยใจเอย”
มาลี                                  
ดอกดังสีบานเย็นเห็นฤาไม่
ผีเสื้อร่อนว่อนอยู่ดูวิไล    
งามกระไรหนอผีเสื้อช่างเหลืองาม
กินอะไรเกิดที่ไหนผีเสื้อเอ๋ย   
อย่าปิดเลยตอบต่อที่ข้อถาม
น้องจะได้ไปเกิดไปกินตาม   
ให้อร่ามเหมือนผีเสื้อเหลือสวยเอย


ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23/พ.ค./13 11:15น. โดย สหัสวรรษ »

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 23/พ.ค./13 13:28น. »

กราบกรานคารวะท่านปรมาจารย์"สหัสวรรษ"  ที่เมตตาเข้ามาเยี่ยมเยือน  ไม่มามือเปล่าหอบหิ้วส่วนหนึ่งของวรรณกรรม
เข้ามาแจมให้คนรุ่นหลังรู้จักของดีๆ   มาอีกนะขอรับ  สิ่งดีๆในวรรณกรรมจะได้ไม่สูญหาย  คนอย่างท่านคนอย่างกระผม
แลหลายๆท่านที่ปรากฎในห้องนี้  ถือได้ว่าเป็นผู้บำรุงรักษามรดกไทยไว้สืบไป  ขอบคุณมากๆขอรับกระผม

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ สหัสวรรษ

  • เซียน
  • ****
  • ออฟไลน์
  • 568
    65
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 23/พ.ค./13 14:34น. »

สวัสดีครับท่านชบาบาน
พูดถึงเรื่องกาพย์กลอนนี้ ของโปรดผมนานแล้ว เพียงแตหาคนรสนิยมเดียวกันมาคุยเรื่องเดียวกันยาก เหมือนเราไปดูหนังเรื่องนึงรู้สึกว่าสนุกมาก ครั้นจะหันหน้าไปคุยกับคนข้างๆ เขาก็ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ จะอธิบายว่าสนุกยังไงก็ลำบาก อึดอัดชะมัด

มีอยู่ช่วงที่ผมรวบรวมบทโคลง กลอน กาพย์จากเว็บมาปลีกวิเวกอยู่คนเดียว ไหนๆก็ไหนๆ ผมเลยเอากาพย์ยานี11 เกี่ยวกับ20ไม้ม้วนมาฝาก อืม กาพย์ยานี11 เนี่ยถือเป็นบทร้อยกรองที่แต่งง่ายอ่านง่าย นึกถึงสมัยเด็กมีนิยายภาพการ์ตูนก็บรรยายด้วยกาพย์ยานี11 เหมือนกัน สมัยนี้หาไม่มีแล้ว


20 ไม้ม้วน สูตรเก่า

: ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่
ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ มิหลงใหลใครขอดู
จะใคร่ลงเรือใบ ดูน้ำใสและปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง
เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี

: ใฝ่ใจให้ทานนี้
ใฝ่ใจให้ทานนี้ นอกในมีแลใหม่ใส
ใครใคร่แลยองใย อันใดใช้อย่าใหลหลง
ใส่กลสะใภ้ใบ้ ทั้งต่ำใต้และใหญ่ยง
ใกล้ใบแลใช่จง ใช้ให้คงคำบังคับ

: สะใภ้ใหม่
สะใภ้ใหม่ใส่ใจใคร่ อย่าหลงใหลใช่สิ่งดี
เยื่อใยในสามี หน้าสดใสเป็นใบบุญ
ต่ำใต้ใช้ใกล้ชิด บ้าใบ้จิตใฝ่การุณ
ผู้ใหญ่ใครมีคุณ สิ่งใดช่อบให้ตอบแทน

20ไม้ม้วน  สูตรใหม่

ผู้ใหญ่ บ้านสะใภ้ เห็นสาวใช้ นิสัยดี
ใส่ใจ ใฝ่ฝันมี แสนหลงใหล ใคร่ขอดู
สายใย แห่งใบรัก ใกล้ฟูมฟัก อยากอุ้มชู
เมียเก่า แอบในตู้ เมียใหม่อยู่ ใต้ตั่งเตียง
เมียเก่า หัวเราะใส เป็นผู้ใด มิให้เสียง
ใช่ใคร นางส้มเกลี้ยง เป็นใบ้บ้า น่าฆ่ามัน


ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23/พ.ค./13 14:45น. โดย สหัสวรรษ »

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 24/พ.ค./13 05:45น. »

ตอนเป้นเด็กนักเรียน ก็ได้เคยท่องจำ 20 ไม้ม้วนเช่นกัน   สมัยนี้ไม่แน่ว่าเด็กจะยังท่องอยู่หรือไม่
ขอบคุณขอรับ ที่เอานำสิ่งดีๆม่าเผยแพร่

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189

ออฟไลน์ สหัสวรรษ

  • เซียน
  • ****
  • ออฟไลน์
  • 568
    65
Re: กวีวรรค
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 24/พ.ค./13 08:51น. »

สวัสดีครับท่านชบาบาน
กระทู้นี้จะมีคนคุยกันแค่2คนมั้ยนะ ไหนๆคุยกันเรื่องกลอนแล้ว เลยอยากแสดงฝีมือมั่ง เอาบทกาพย์ยานีที่แปลมาจากบทกลอนลำนำจริยาขนาดย่อมของท่านโจโฉ กวีเอกจีนอีกท่านหนึ่งในสมัยสามก๊ก คนไทยน้อยคนนักจะรู้ว่าท่านถนัดทางด้านกลอน แต่บทกวีบทนี้กำหนดในการศึกษาระดับมัธยมของจีนว่าต้องท่องจำให้ได้ ผมเลยยกทั้งต้นฉบับภาษาจีน กาพย์ยานีภาษาไทย และบทเพลงในละครเรื่องสามก๊กมาเพื่อให้เต็มรูปแบบ เคยแปลให้เพื่อนอ่านในเว็บมานานแล้ว เลยจับมาใส่ในขวดใหม่ซะเลย จะใช้ยูทูป มันเปลี่ยนรูปแบบจนเราเอามาแปะไม่ถูก เลยโดดเข้าเว็บจีนไปเอามาดื้อๆเลย แต่บางครั้งเปิดแล้วจะมีโฆษณาประมาณ10วิ อย่าแปลกใจ

<a href="http://www.tudou.com/v/VvskQ7i_2J0" target="_blank" class="new_win">http://www.tudou.com/v/VvskQ7i_2J0</a>

短歌行
  
  对酒当歌,人生几何?
  譬如朝露,去日苦多。
  慨当以慷,忧思难忘。
  何以解忧?唯有杜康。
  青青子衿,悠悠我心。
  但为君故,沈吟至今。
  呦呦鹿鸣,食野之苹。
  我有嘉宾,鼓瑟吹笙。
  皎皎如月,何时可掇?
  忧从中来,不可断绝。
  越陌度阡,枉用相存。
  契阔谈宴,心念旧恩。
  月明星稀,乌鹊南飞,
  绕树三匝,何枝可依?
  山不厌高,海不厌深。
  周公吐哺,天下归心。


(ลำนำจริยาขนาดย่อม)

ดื่มเหล้าพร้อมเหล่าเพื่อน ผู้มาเยือนเพื่อนชีวา
ชีวิตเรานี่หนา จะหามีซักกี่หน

ดั่งน้ำค้างพราวตา เวลาตรู่อยู่ไม่ทน
อนาถชีวิตคน หนทางช่างลำบากนัก

ถึงแม้จะอาจหาญ คึกทะยานมั่นหาญหัก
ยังเรื่องกังวลหนัก สลักใจไม่อาจลืม

อย่างนี้ทำไงได้ ถึงทำใจให้เป็นปลื้ม
เอ้าเพื่อนเรามาดื่ม เพื่อคลายเหงาที่เศร้าใจ

เหล่าพวกหนอนตำรา   คอยกวนข้าให้เขวไขว้
คอยรบกวนจิตใจ ให้ข้ามีที่รำคาญ

ยังแต่เจ้าชีวิต ที่ข้าคิดเกรงทัยท่าน  
เพื่อความสมานมั่น ฉันเลยเฉยจนถึงบัดนี้

แว่วแว่วเสียงเก้งกวาง ร้องเสียงกร่างดังอึงมี่
เคี้ยวหญ้าในไพรี มันช่างมีความสุขนัก

ข้ามีแขกมาแล้ว ซอปี่แก้วกลองตีหนัก
ดนตรีมีพร้อมพรัก ขับขานให้ใจเบิกบาน

พระจันทร์อันสกาว ส่องแสงพราวพร่างบนลาน
ไฉนใจข้าหาญ อยากเก็บมันมาแนบไว้

พลันเกิดความกังวล อันล้นพ้นขึ้นในใจ
มิอาจระงับได้ ให้หมองหม่นเหลือทนนัก

ฝ่าเขาลำเนาไพร ที่ไกลๆไม่หยุดพัก
แต่ผลที่ได้มัก ไม่คุ้มกับที่คาดหวัง

คุยกับคนรู้ใจ เหล้าในไหเกลี้ยงเป็นลัง  
แต่ใจเราก็ยัง รำลึกถึงคนแก่เก่า

ในคืนที่จันทร์แจ่ม ไร้ดาวแซมแจ่มใจเรา
นกกาพลันร้อนเร่า เฝ้าบินไปในทิศใต้

เจอไม้ใหญ่วนเวียน เฝ้าแต่เพียรหากิ่งไม้
วนแล้วสามรอบไซร้ ไม่มีที่จะอาศัย

ขุนเขาทะยานเมฆ ยิ่งสรรเสกยิ่งสูงใหญ่
ทะเลลึกสุดใจ ใครหยั่งได้ให้บาทเดียว

โจวกงกินข้าวอยู่ รู้ใครมาพ่นข้าวเชียว
ทำได้ไม่ลดเลี้ยว ทั้งโลกหล้ามาสยบ

หมายเหตุ
โจวกงในที่นี้หมายถึงจีต้าน เป็นลูกชายคนที่สีของจิวบุ๋นอ๋อง เป็นน้องชายจิวบู๊อ๋อง ช่วยจิวบู๊อ๋องในการพิชิตติ้วอ๋อง กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ซาง และสถาปนาราชวงศ์โจว ตามบันทึกประวัติศาสตร์ โจวกงเป็นคนที่ชอบหาคนมีความรู้ความสามารถเรียกว่า  (มองหาคนดีราวกับกระหายน้ำ)  โจวกงกลัวว่าจะสูญเสียคนดีของแผ่นดิน มีหลายครั้ง เวลามีคนมีความสามารถมาหา ยังสระผมอยู่ ก็รีบจับผมที่ยังไม่ได้หวีออกมาต้อนรับ บางทีรับทานข้าวอยู่ ได้ยินว่ามีแขกมา ก็รีบพ่นข้าวที่ยังไม่เคี้ยวออกมาต้อนรับแขกเหรื่อ  คำว่า(โจวกงพ่นข้าว) เลยกลายเป็น成语(คำสำเร็จรูปเชิงสุภาษิตเปรียบเปรย)  ที่แปลว่ากระตือรือร้นในการต้อนรับแขกเหรื่อ


ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=14189
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/พ.ค./13 09:05น. โดย สหัสวรรษ »