กระผมเป็นเด็กบ้านนอก สมัยเด็กประมาณ ม.1 เรียกว่าพออ่านหนังสือแตก
ก็ถูกใช้ให้อ่านหนังสือให้ปู่ย่าแก่ๆฟัง หนังสือที่นำมาอ่านก็จำพวกประเภท
"....บาทขาดราคาเชิญมาซื้อ ร้านหนังสือหน้าวัดเกาะเพราะนักหนา ราษฎร์
เจริญโรงพิมพ์ริมมรรคา เชิญท่านมาซื้ออ่านดูจะรู้ดี......." เป็นหนังสือนิทานคำกลอน
จักร์ๆวงค์ จึงเลยคุ้นเคยกับกลอน นานเข้ามันฝังอยู่ในสายเลือด ทำให้ชอบบท
ร้อยกรองที่เป็นกลอนซึมซับติดตัว
โตขึ้นมาเป็นเด็กม.4-ม.5 ก็ริอ่านเขียนมันเสียเองบ้าง ทั้งร้อยแก้วร้อย
กรอง เขียนเองอ่านเอง เขียนให้เพื่อนอ่านบ้าง หลุดไปถึงครูบ้างบางครา ครูชม
เชยให้กำลังใจ เลยได้ใจส่งไปหนังสือพิมพฺ์สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงการศึกษา เช่น
ชัยพฤกษ์ วิทยาสาร ได้ลงเผยแพร่อยู่บ่อยครั้ง นี่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ฮึกเหิมที่จะเป็น
นักเขียนกลอนกะเขาบ้าง
ไปสมัครเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์เปลื้อง ณ นคร ซึ่งเปิดสอนวิชาการ
ประพันธ์และหนังสือพิมพ์ทางไปรษณีย์ มีผู้สนใจเรียนกันมากแต่จะผ่านจนจบกี่คน
จำไม่ได้ จำได้แต่ตัวเองไม่จบหลักสูตร อาจารย์เปลื้องแกเป็นบรรณาธิการชัยพฤกษ์
อยู่ด้วย มีคอลัมน์สอนร้อยกรองในหน้าชัยพฤกษ์ ใครหัดเขียนกลอนก็ส่งไปลงแล้วอาจารย์
แกจะวิจารณ์ทั้งการใช้คำ การสัมพันธ์ทางฉันทลักษณ์และอักษร จนมีผู้มุมานะเอาจริงเอาจัง
เก่งได้หลายคน
ตั้งใจจะเขียน"กวีวรรค" อันเป็นบทกวีที่กินใจหรือที่ในวงการเขาเรียกกันว่า
"วรรคทอง" แต่กลับมาเรื่อยเจื้อยไม่เข้าเรื่องสักที เอาเป็นอันว่าตอนต่อไปจะเข้าเรื่อง
แล้ว.