ยังไม่เคยฟังมาเหมือนท่านอื่นๆ เพลงเตืนสาวบ้านนอก โดยผู้ขับร้องโดยศักดิ์ สนทยา ผมว่าผมก็แฟนเพลงวงดนตรีลูกทุ่ง ใยจึงไม่เคยชื่อวงดนตรีวงนี้
ยุควงดนตรีรุ่งเรือง ยุคทอง ผมว่าซอยบุปผาสวรรค์ แถววัดดงมูลเหล็ก เอาว่า แถวสะพานพุทธ แถวงวงเวียนเล็ก วงเวียนใหญ่ เท่าที่เคยเดินผ่านก็เป็นร้อยๆวง
ต้องสารภาพว่าแม้เมื่อก่อนที่ผมมาอยู่กรุงเทพใหม่ๆ ค่ารถเมล์ก็ห้าสิบสตางค์ ผมได้ค่าข้าวบวกรถเมล์วันละห้าบาท ดูเหมือนว่าข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวน่าจะสักหกสลึง
ถึงสองบาท เมื่อก่อนเหรียญสลึง เหรียญห้าสิบมันมีค่านะ ตอนผมโตมาอีกหน่อย ค่าตัวนักมวย ตอนเพื่อนไปขึ้นเวทีงานวัดแถวมีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง
ค่าตัวได้ น้อยสุดคือแพ้ ได้ห้าสิบบาท ชนะ แปดสิบถึงร้อยห้าสิบบาท แล้วแต่ว่าเป็นมวยมีชื่อ หรือโนเนม สมัยผมเรียนที่ลาดกระบัง รุ่นพี่และรุ่นผมมีแต่ผู้ชาย
มีกระสอบทราย มียวมให้ซ้อม รุ่นผมมีเป็นนักมวยเกือยยี่สิบคน ค่าย ลูกเจ้าคุณทหาร ผมเคยไปเปรียบมวยกับเขา มีแต่คนอยากชกด้วย เพราะ คนมองว่า
เคี้ยวง่าย ด้วยพี่ชายรู้ และผมต้องพึ่งพาเขา เขาบอกล่วงหน้าไว้เลยว่า ถ้าเอ็งขึ้นชกมวยเมื่อไหร่ ถ้ารู้ จะไม่ส่งเสียให้เรียน ก็เลยเป็นพี่เลี้ยงและกองเชียร์แทน
รุ่นพี่ที่ดังในยุคนั้นคือ เทพฤทธิ์ เขาใช่ชื่อค่ายหลายค่าย แล้วแต่ว่าจะขึ้นชกเวทีไหน ไปๆมาๆ วันนี้ผมมาเล่าเรื่องมวยได้ไงไม่รู้สิ จากวทีวงดนตรีกลับมาที่มวย
ว่าไปสองอย่างนี่ขาดกันไม่ได้เวลางานประเพณีต่างจังหวัดหรือบ้านนอกมีงานต้องมีหนัง ดนตรี มวย ลิเก รำวง ยืนพื้น ถามว่าตอนเด็กอยู่บ้านนอก คนหนุ่มสาว
ทุกคนส่วนใหญ่อยากเป็นนักร้องลูกทุ่ง ผมก็เคยฝันนะบอกตรงๆ ขอกลับมาที่เพลงเตือนสาวบ้านนอก คงเป็นเนื้อหาแง่มุม เตือนว่า อย่าไปหลงละเลิงกับ
ความศิวิไลซืของเมืองหลวง เพราะผู้คนมันหลายพ่อพันแม่ มีคนดี คนไม่ดี เราคนบ้านนอกขาดประสบการณ์ ไม่มีความรู้ อาจพลาดพลั่งถูกหลอกจนหมดเนื้อ
หมดตัวได้ โดยเฉพาะผู้หญิง น่าตาสวย โดยหลอกแล้ว ตั้งท้องแล้วไม่มีคนรับผืดชอบ เพื่อนบ้านได้เยาะเย้ยถากถาง ชีวิตชนบทจึงเป็นชีวิตที่เรียบง่าย จริงใจ
เพราะความอยากเป็น อยากมี จึงทำให้สาวบ้านนอกเป็นเหยื่อคนฉลาดกว่า ขอบคุณพี่ฉัตร ครับที่ทำให้ผมเขียนเรื่องราวได้ยาวกว่าทุกครั้งครับ