ช่วงนี้เป็นฤดูกาลที่มีทุเรียนออกมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก มีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับทุเรียนหลายอย่างที่ทั้งผู้ที่ชอบและไม่ชอบรับประทานทุเรียนควรทราบ
ไทยผลิตและส่งออกทุเรียนรายใหญ่ของโลก ตลาดหลักของไทย คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รายงานว่า ไทยส่งออกในรูปทุเรียนสดประมาณร้อยละ 90 ของการส่งออกทั้งหมด โดยในปี 2555 - 2559 การส่งออกทุเรียนสดและผลิตภัณฑ์ของไทยเพิ่มขึ้นจาก 365,912 ตัน (คิดเป็นทุเรียนสด 371,946 ตัน) มูลค่า 7,167.28 ล้านบาท ในปี 2555 เป็น 394,795 ตัน (คิดเป็นทุเรียนสด 401,359 ตัน) มูลค่า 18,398.00 ล้านบาท ในปี 2559 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.53 และร้อยละ 28.23 ต่อปี ตามลำดับ (http://bit.ly/2tQpCGZ)
คุณค่าทางโภชนาการในทุเรียน
ทุเรียนเป็นหนึ่งในผลไม้ยอดนิยมของชาวเอเชีย และมีประโยชน์ในทุกส่วน ตั้งแต่เปลือกจนถึงเมล็ด
• เนื้อทุเรียน ให้พลังงานสูงมาก (ประมาณ 150 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัมของน้ำหนักสด) เนื่องจากมีสารสำคัญทางโภชนาการดังนี้ (http://bit.ly/2uo6nBv)
o คาร์โบไฮเดรตสูงถึง 27.1±1.6 กรัม ต่อ 100 กรัมของน้ำหนักสด
o ไขมัน 5.3±0.4 กรัม ต่อ 100 กรัมของน้ำหนักสด
o เส้นใยอาหาร 3.2±0.3 กรัม ต่อ 100 กรัมของน้ำหนักสด
o โปรตีน 1.4±0.1 กรัม ต่อ 100 กรัมของน้ำหนักสด
o กรดไขมันทั้งที่เป็นแบบกรดไขมันอิ่มตัว และกรดไขมันไม่อิ่มตัว
o เบต้าแคโรทีนและวิตามินอี
o โปแตสเซียม
o สารประกอบกำมะถัน ซึ่งทำให้ทุเรียนมีกลิ่นเฉพาะตัว
• เมล็ดทุเรียน ประกอบด้วย น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว กรดไขมัน และกรดอมิโนที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่การบริโภคเมล็ดทุเรียนควรทำให้สุกเสียก่อน (http://bit.ly/2spgGUA)
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
ผลการวิจัยที่ผ่านมาในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง พบว่า
• ทุเรียนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (http://bit.ly/2uo6nBv)
• ทุเรียนมีฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง (http://bit.ly/2uo6nBv)
• เปลือกทุเรียนมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนสูง จึงมีการพัฒนาเป็นแผ่นแปะผิวหนังทดสอบในหนังหมู พบว่า มีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรียและทำให้แผลหายเร็วขึ้น (http://bit.ly/2sM655E)
ทุเรียนมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อัลดีไฮด์ดีไฮโดรจีเนส (aldehyde dehydrogenase) จึงไม่ควรรับประทานทุเรียนร่วมกับแอลกอฮอล์ เพราะจะส่งผลให้มีสารอัลดีไฮด์สะสมในร่างกาย ทำให้เกิดอาการหน้าแดง ชา วิงเวียน และ อาเจียน
ผลการวิจัยในกลุ่มตัวอย่างเพศชายที่มีสุขภาพดี โดยให้บริโภคเนื้อทุเรียน 250 กรัม หรือ 500 กรัม พบว่า การกินทุเรียนไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ (http://bit.ly/2tPucFl)
แต่คนที่มีโรคประจำตัว เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหลอดเลือดหัวใจตีบ ต้องจำกัดการบริโภคทุเรียน เพราะทุเรียนมีคาร์โบไฮเดรทสูง รวมทั้งผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากทุเรียนเป็นผลไม้มีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคไตจะไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินได้เท่าคนปกติ จะส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เตือนให้ระวังการกินทุเรียน ในกลุ่มผู้ป่วยโรคไต เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดหัวใจตีบ แนะนำให้กินแต่พอดี โดยกินไม่เกิน 1 เม็ดเล็กต่อวัน และไม่ควรกินทุเรียนพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ทุเรียนมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง ถ้าบริโภคอย่างพอดี
โดย...รศ.ดร.ภญ.นุศราพร เกษสมบูรณ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น