และแล้ว...ปูก็กลับมา...
โดย...บรรจง นะแส
(http://www.thairath.co.th/media/content/2009/10/14/630/39641.jpg)
“ปัจจัยหลักสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์คือ อาหาร จาการศึกษาพบว่า แหล่งของอาหารที่สำคัญ
ที่สุดของโลกก็คือ ทะเล และมหาสมุทร จากการประมาณการพบว่า ทะเล และมหาสมุทรมีเนื้อที่ประมาณ
362,600,000 ตารางกิโลเมตร มนุษย์สามารถหาผลผลิตจากแหล่งน้ำนี้ได้โดยเฉลี่ยปีละประมาณ 5 ตัน
ต่อตารางกิโลเมตร เราพบว่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำดังกล่าวมีความสัมพันธ์กันในรูปของโซ่อาหาร
(food chain) และสายใยอาหาร l (food wab) ที่มีความซับซ้อน และเกิดความสมดุลธรรมชาติ
ความสัมพันธ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคที่อยู่ร่วมกันในระบบนิเวศนั่นเอง”
วันนี้ทะเลไทย แหล่งอาหารโปรตีนตามธรรมชาติที่สำคัญกำลังวิกฤต วันนี้จึงอยากนำเสนอความพยายาม
ของชุมชนที่จะฟื้นแหล่งอาหารของพวกเขากลับมาอีกครั้ง ภายใต้รูปแบบกิจกรรมเล็กๆ แต่สำคัญที่ชื่อว่า “ธนาคารปูม้า”
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/966/48966/images/ccc1.JPG)
ปูม้า เป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจที่นิยมบริโภคทั่วไปของคนในประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นวัตถุดิบ
ที่ต้องการของโรงงานผลิตอาหารกระป๋องเพื่อส่งออก 20 กว่าปีที่ผ่านมา กล่าวคือ ในปีปี 2530 มีข้อมูลปริมาณปูม้า
ที่จับได้ทั่วประเทศประมาณ 34,707 ตัน คิดเป็นมูลค่าถึง 744.7 ล้านบาท หลังจากนั้นข้อมูลผลผลิตจากปูม้าก็เริ่ม
ลดลงเรื่อยๆ จนไม่มีนัยทางเศรษฐกิจส่งออก สาเหตุหนึ่งที่สำคัญก็เพราะว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปูม้าถูกจับจากทะเล
ขึ้นมาใช้ประโยชน์อย่างมากมายจนเกินกำลังการผลิตของธรรมชาติ มีการใช้เครื่องมือทำการประมงหลายชนิดที่ทำลาย
พันธุ์ปูม้าวัยอ่อน ไม่ว่าเรืออวนรุน อวนลาก หรือเครื่องมือจับปูม้าเฉพาะที่เรียกว่าไซดักปู ที่สามารถจับลูกปูตัวเล็กๆ
ที่โตไม่ได้ขนาดขึ้นมาบริโภคกันมากขึ้น เพราะเนื้อปูม้ามีราคาแพงและสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
เช่นเดียวกับเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อไก่
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/966/48966/images/ccc6.JPG)
ราคาเนื้อปูม้าในปัจจุบันมีการแยกเกรดออกขายในราคาที่ค่อนข้างสูง เช่น เนื้อก้อนจะขายในถึงกิโลกรัมละ 800 บาท
เนื้อขาวกิโลกรัมละ 600 บาท เนื้อขากิโลกรัมละ 600 บาท และเนื้อก้ามกิโลกรัมละ 300 บาท เป็นต้น
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/966/48966/images/ccc6.JPG)
แม้ในปัจจุบัน ปูม้ายังเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งตลาดในประเทศ ประกอบด้วย
ตลาดท้องที่ และตลาดท้องถิ่น โดยตลาดท้องที่จะรวบรวมปูจากสะพานปลาและฟาร์มต่างๆ ในท้องที่เพื่อนำไปส่งขาย
ให้แก่ตลาดท้องถิ่น หรือคนกลาง เพื่อส่งไปขายยังตลาดปลายทางอีกทอดหนึ่ง ส่วนตลาดท้องถิ่นจะเป็นตลาดที่อยู่ใน
เขตการค้าของจังหวัดต่างๆ ที่นำปูจากท้องที่จำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคในท้องถิ่นในรูปของปูสด ปูสดแช่น้ำแข็ง ปูสดแช่เย็น
ปูเป็น ปูนิ่ม ปูดอง และเนื้อปูแกะ สำหรับปูม้าไทยที่ส่งไปจำหน่ายต่างประเทศนั้น นอกจากจะเป็นเนื้อปูบรรจุกระป๋องแล้ว
ยังมีเนื้อปูแช่เย็นที่บรรจุในภาชนะปรุงแต่ง เช่น เนื้อปูแช่น้ำเกลือ เนื้อปูสุก เนื้อปูที่บรรจุในภาชนะสุญญากาศ เป็นต้น
(http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2012/07/11/jgkabkfae68agbjbi9e57.jpg)
“ธนาคารปูม้า” จึงเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในชุมชน ด้วยภูมิปัญญาของผู้คนในชุมชนที่อาศัย และใช้ชีวิตสัมพันธ์
อยู่กับฐานทรัพยากรธรรมชาติ คือ ทะเล และชายฝั่ง คุณลุงจาง ฟุ้งเฟื่อง ชุมชนเกาะเตียบ ต.ปากคลองอ.ปะทิว จ.ชุมพร
น่าจะเป็นท่านแรกที่ทำกิจกรรมที่ถูกขนานนามว่า “ธนาคารปูม้า” ให้ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง เพราะท่านได้เริ่มทำ
กิจกรรมอนุรักษ์พันธุ์ปูม้าไข่นอกกระดองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 ท่านเคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ ว่า ความคิดนี้ของท่าน
เกิดขึ้นเพราะท่านสังเกตได้ว่า สัตว์น้ำทะเลเริ่มมีจำนวนลดน้อยลงทุกวัน ซึ่งก็รวมถึงปูม้าด้วย เพราะในอดีตปูม้าถือว่าเป็น
สัตว์น้ำเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่งในชุมชนของท่าน
(http://news.hatyaiok.com/wp-content/uploads/2012/11/DSC_0203_resize.jpg)
ท่านพูดตอกย้ำเสมอๆ ว่า “หากชาวประมงมีแต่จับ และจำหน่ายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยไม่ส่งกลับคืนสู่ทะเล
สักวันคงจะไม่มีปูม้าให้จับเป็นแน่”
(http://share.psu.ac.th/file/pilaiwan.p/DSC07596.JPG http://share.psu.ac.th/file/pilaiwan.p/DSC07606.JPG)
(http://www.bsnnews.com/file_upload/news/library/5-20110923114459P7.jpg)
ปัจจุบัน “ธนาคารปูม้า” ที่คุณลุงจาง ฟุ้งเฟื่อง จัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 และเรียกชื่อกลุ่มของท่านว่า
“กลุ่มฟื้นฟูทรัพยากรปูม้าชุมชนเกาะเตียบ” ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของชุมชนประมงชายฝั่งอื่นๆ
จนกิจกรรมธนาคารปูม้าขยายไปในหลายพื้นที่ หลายจังหวัดที่มีพื้นที่เป็นชุมชนประมงชายฝั่งของประเทศ หลักการง่ายๆ
ของท่านคือ
- สร้างกระชังรับฝากแม่ปูที่มีไข่นอกกระดองที่ชาวประมงจับได้
- ทำการรับปูม้าที่มีไข่นอกกระดองมาทำการเลี้ยงในกระชัง
- ให้อาหารเป็นปลาสดสับละเอียดวันละหนึ่งครั้งในตอนเช้า
- ขังแม่ปูม้าในกระชังประมาณ 7 วัน แม่ปูก็จะปล่อยไข่
- ไข่ของปูม้าจะฟักตัวเป็นลูกปู
- นำลูกปูที่ได้ปล่อยออกสู่ท้องทะเล
- ส่วนแม่ปูที่ปล่อยไข่ออกจากท้องหมดแล้ว ก็จะนำไปจำหน่าย แล้วนำเงินที่ได้ฝากเข้า กองทุนธนาคารปูต่อไป
คุณลุงจาง ฟุ้งเฟื่อง สรุปสั้นๆ ว่า “ธนาคารปูม้านั้น ก็คล้ายๆ กับการฝากเงิน-ถอนเงินของธนาคารพาณิชย์
เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นการรับฝากแม่ปูแทน ส่วนดอกเบี้ยก็คือ ลูกปูที่ปล่อยลงทะเล เพื่อให้เติบใหญ่แล้วจับขึ้นมา
ขายเป็นรายได้ของชาวประมงต่อไป” ซึ่งก็สอดคล้องกับการศึกษาของนักวิชาการประมง (วารินทร์ และคณะ
(2547) ที่พบว่า ปูม้าที่มีไข่สีเทาอมดำจะปล่อยตัวอ่อนภายใน 1-2 วัน แม่ปูไข่นอกกระดอง 1 ตัว จะปล่อย
ตัวอ่อนประมาณ 250,000-2,000,000 ล้านตัวต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของไข่ที่แม่ปูแต่ละตัวมีอยู่ ไข่ปูม้า 1 กรัม
มีปริมาณไข่ประมาณ 22,030 ฟอง
(http://www.greenpeace.org/seasia/th/ReSizes/OriginalWatermarked/Global/seasia/thailand/EKK_2471.jpg)
ดร.สุภาภรณ์ อนุชีราชีวะ นักวิชาการทางการประมง เคยคำนวณผลประโยชน์ที่จะได้รับจากธนาคารปูเอาไว้ว่า
“ถ้าอัตราการรอดของลูกปูที่ถูกปล่อยลงทะเลอยู่ที่ร้อยละ 1 เราก็จะได้ปริมาณปูในทะเลเพิ่มขึ้นอีกประมาณ
2,500-10,000 ตัวต่อแม่ปู 1 ตัว ถ้าธนาคารปู 1 แห่ง มีแม่ปูไข่นอกกระดอง 30 ตัวต่อเดือน หรือ 360 ตัวต่อปี
จะพบว่าธนาคารปูนั้นๆ สามารถเพิ่มประชากรปูให้แก่ท้องทะเลได้ปีละ 900,000-7,200,200 ตัว และถ้าชาวประมง
จับปูม้าเพื่อขายอยู่ที่ 6 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม และกิโลกรัมละ 200 บาท ชาวประมงจะมีรายได้จากปูม้าที่เพิ่มขึ้นนี้
ประมาณ 30-240 ล้านบาทต่อปี”
แหล่งอาหารโปรตีนในธรรมชาติของสังคมไทยถูกรุกรานให้เหลือพื้นที่น้อยลงทุกวันๆ จนอยู่ในขั้นวิกฤต ผู้คน
ในสังคมต้องอาศัย และขึ้นต่ออาหารโปรตีนจากบริษัทเอกชน ที่รุกคืบเข้ายึดกุมอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด
ของชีวิตของผู้คน ทั้งๆ ที่ประเทศของเรามีพื้นที่ที่เป็นแม่น้ำ แหล่งน้ำ ลำคลองอยู่ในพื้นที่ทุกภาคของประเทศ
มีทะเลสาบ มีทะเลทั้งสองฝั่ง ที่มีข้อมูลยืนยันตรงกันทั่วโลกว่า “แหล่งของอาหารที่สำคัญที่สุดของโลกก็คือ
ทะเล และมหาสมุทร”
(http://www.rakbankerd.com/kaset/Fertilizer/183_1.jpg)
การเริ่มต้นจาก “ธนาคารปูม้า” ของชุมชนเล็กๆ ตามชายฝั่งได้ตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า ถ้าชุมชนร่วมมือกัน
ดูแลรักษา อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรในชุมชนของเขา ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหารก็จะกลับคืนมาสู่ชุมชน
ของเขาได้ ผมเลยมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าผู้คนในสังคมไทยเห็นความสำคัญของแหล่งน้ำ ทะเล มองแหล่งน้ำที่มาก
ไปกว่าน้ำ มองทะเลให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ในทะเลที่มากไปกว่าน้ำเค็ม หรือชายหาดสวยๆ เราก็จะพบว่า แหล่งน้ำ
หรือทะเล คือ แหล่งอาหารที่สำคัญที่ไม่มีบริษัทไหนๆ จะผลิตอาหารที่ดีที่สุดให้แก่เราได้ดีเท่ากับทะเล.
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นำมาจาก http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000086500 (http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000086500)
http://www.nicaonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=617:2012-02-22-07-56-28&catid=38:2012-02-20-02-58-39&Itemid=120 (http://www.nicaonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=617:2012-02-22-07-56-28&catid=38:2012-02-20-02-58-39&Itemid=120)