เพลงพักใจดอทเน็ต

สัพเพเหระ => เป็นนักเลงกลอนอย่านอนเปล่า => ข้อความที่เริ่มโดย: ชบาบาน ที่ 23/มี.ค./13 10:37น.

หัวข้อ: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 23/มี.ค./13 10:37น.
   กระผมเป็นเด็กบ้านนอก  สมัยเด็กประมาณ ม.1 เรียกว่าพออ่านหนังสือแตก
ก็ถูกใช้ให้อ่านหนังสือให้ปู่ย่าแก่ๆฟัง  หนังสือที่นำมาอ่านก็จำพวกประเภท
"....บาทขาดราคาเชิญมาซื้อ    ร้านหนังสือหน้าวัดเกาะเพราะนักหนา  ราษฎร์
เจริญโรงพิมพ์ริมมรรคา  เชิญท่านมาซื้ออ่านดูจะรู้ดี......." เป็นหนังสือนิทานคำกลอน
จักร์ๆวงค์  จึงเลยคุ้นเคยกับกลอน  นานเข้ามันฝังอยู่ในสายเลือด  ทำให้ชอบบท
ร้อยกรองที่เป็นกลอนซึมซับติดตัว
   โตขึ้นมาเป็นเด็กม.4-ม.5 ก็ริอ่านเขียนมันเสียเองบ้าง  ทั้งร้อยแก้วร้อย
กรอง  เขียนเองอ่านเอง   เขียนให้เพื่อนอ่านบ้าง  หลุดไปถึงครูบ้างบางครา  ครูชม
เชยให้กำลังใจ   เลยได้ใจส่งไปหนังสือพิมพฺ์สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงการศึกษา  เช่น
ชัยพฤกษ์ วิทยาสาร  ได้ลงเผยแพร่อยู่บ่อยครั้ง   นี่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ฮึกเหิมที่จะเป็น
นักเขียนกลอนกะเขาบ้าง
   ไปสมัครเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์เปลื้อง ณ นคร  ซึ่งเปิดสอนวิชาการ
ประพันธ์และหนังสือพิมพ์ทางไปรษณีย์   มีผู้สนใจเรียนกันมากแต่จะผ่านจนจบกี่คน
จำไม่ได้ จำได้แต่ตัวเองไม่จบหลักสูตร อาจารย์เปลื้องแกเป็นบรรณาธิการชัยพฤกษ์
อยู่ด้วย มีคอลัมน์สอนร้อยกรองในหน้าชัยพฤกษ์  ใครหัดเขียนกลอนก็ส่งไปลงแล้วอาจารย์
แกจะวิจารณ์ทั้งการใช้คำ การสัมพันธ์ทางฉันทลักษณ์และอักษร  จนมีผู้มุมานะเอาจริงเอาจัง
เก่งได้หลายคน
   ตั้งใจจะเขียน"กวีวรรค" อันเป็นบทกวีที่กินใจหรือที่ในวงการเขาเรียกกันว่า
"วรรคทอง" แต่กลับมาเรื่อยเจื้อยไม่เข้าเรื่องสักที  เอาเป็นอันว่าตอนต่อไปจะเข้าเรื่อง
แล้ว.
   
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 23/มี.ค./13 18:27น.
บทกวีที่เขียนขึ้นมาโดยนักกวีตั้งแต่โบราณมาแล้ว  มักจะมีจุดมุ่งหมายหรือเนื้อ
หาของการเขียนว่าจะเป็นไปในรูปใหน  สื่อถึงอะไร  เขาขีดเส้นแบ่งเป็นแนวทางใหญ่ๆอยู่
2 อย่างคือ
   1.กลุ่มวรรณศิลป์ เป็นการเขียนสื่อถึงความงามของธรรมชาติ ความรักความเพ้อฝัน
   2.กลุ่มกวีก้าวหน้า เนื้อหาหรือจุดมุ่งหมายคือการบ้านการเมือง ชนชั้นของสังคมหรือ
เศรษฐกิจ
   ก็คล้ายๆกับการแบ่งของวงการเพลง เป็นลุกทุ่ง ลูกกรุงและเพื่อชีวิต
   และในแต่ละประเภทก็มีบทร้อยกรองที่ดี  เป็นที่จับใจผู้อ่าน  สร้างความสะเทือนอารมณ์
อยู่มากมาย  อันเป็นส่วนที่ได้รับการเล่าขานยกย่องกันสืบมา   ส่วนนี้เขาว่ากันว่าเป็น"วรรคทอง"
ของวงการกวี
   วรรคทองมีในทุกประเภทของบทร้อยกรอง  ไม่ว่าจะเป็นกลอนรัก หรือกลอนเพื่อชีวิต
ความนิยมชมชอบในวรรคทองก็แล้วแต่ผู้เสพย์รับที่จะเลือก  ซึ่งบางวรรคทองยังได้รับความชื่นชมเล่าขาน
หรือนำมาใช้สืบต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย
   ธงชาติไทยไกวกวัดสะบัดพริ้ว
   แลริ้วริ้วสลับงามเป็นสามสี
   ผ้าผืนน้อยบางเบาเพียงเท่านี้
   แต่เป็นที่รวมชีวิตและจิตใจ

   ชนรุ่นเยาว์ยืนเรียบระเบียบแถว
   ดวงตาแน่วนิ่งตรงธงไสว
   "ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย"
   ฟังคราวใดเลือดซ่านพล่านทั้งทรวง

   ผืนแผ่นดินถิ่นนี้ที่พำนัก
   เราแสนรักและแสนจะแหนหวง
   แผ่นดินไทยไทยต้องครองทั้งปวง
   ชีพไม่ล่วงใครอย่าล้ำมาย่ำยี

   เธอร้องเพลงชาติไทยมั่นใจเหลือ
   พลีชีพเพื่อชาติที่รักทรงศักดิ์ศรี
   เพลงกระหึ่มก้องฟ้าก้องธาตรี
   แม้ไพรีได้ฟังยังถอนใจ

   แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไทยร้าวใจเหลือ
   คือเลือดเนื้อเป็นหนอนคอยบ่อนไส้
   บ้างหากินบนน้ำตาประชาไทย
   บ้างฝักไฝ่ลัทธิชั่วน่ากลัวเกรง

   ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง
   แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
   ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง
   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง!
   
   จากบทกวีชื่อ"เพลงชาติ" ของ รศ.นภาลัย (ฤกษ์ชนะ)สุวรรณธาดา คัดลอกมาจากหนังสือ
ดอกไม้ใกล้หมอน  ในบทสุดท้ายที่ว่า"...ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง...."จนถึง"...จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง"
เป็นวลีที่กินใจเร้าอารมณ์อย่างยิ่ง  สื่อต่างๆนำมายกเป็นอุทาหรณ์หลายสิบปีมาแล้ว จนกระทั่งทุกวัน
นี้ความหมายนี้ก็ยังเหมาะกับยุคสมัย  นี่คือวรรคทองขอรับ .
   
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: รุ่นโบราณ ที่ 24/มี.ค./13 10:01น.
          วรรคทองที่ประทับในความทรงจำจนเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งกลอนของผมในทุกวันนี้  ส่วนใหญ๋เป็นวรรคทองที่คุ้นหูผู้นิยมโคลงฉันท์กาพย์กลอนทุกคน  และส่วนมากเป็นบทประพันธ์ของบรมครู"สุนทรภู่"  มาจากทั้งในวรรณคดี นิราศ ต่างๆอาทิ

....แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน(จากพระอภัยมณี ตอนสุดสาคร)

จะเห็นว่านอกจากสัมผัสนอกสัมผัสในแพรวพราวสร้างความไพเราะโดดเด่นในบทประพันธ์แล้ว  ยังมีความหมายมีการเปรียบเทียบอันลึกซึ้งถึงสัจจธรรมอันทำให้บทประพันธ์ทรงคุณค่า  บทกวี"ชาติไทย"  ที่คุณชบาบานนำมากล่าวถึงก็เป็นอีกบทที่ตราตรึงในความทรงจำเพราะนอกจากความไพเราะเพราะพริ้งในผลงานแล้ว  ยังเป็นงานศิลปที่สร้างอารมณ์กระทบใจอย่างรุนแรงจนเลือดรักชาติพุ่งพล่านสมเจตนารมณ์ผู้ประพันธ์  สมควรประทับเป็นวรรคทองในดวงใจและนำไปเป็นแบบอย่างครับ 

ขอบคุณที่นำเสนอบทความดีๆครับ

หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 24/มี.ค./13 12:23น.
กราบขอบพระคุุณท่าน"รุ่นโบราณ" ที่เข้ามาแจมด้วย กราบเรียนเชื้อเชิญท่านอื่นๆด้วยนะขอรับ  อ่านกลอนกันไป เขียนอะไรกันไปตามประสาคอร้อยกรอง  มีอะไรจะคุยกันเล่าถึงกันได้
ก็ว่ามา(ในเรื่องบทกลอน)  ท่านรุ่นโบราณก็มีอะไรต่อมิอะไรมากมาย  เขียนสู่กันอ่านเถิดขอรับ  สำหรับ"วรรคทอง"ยังมีอีกยืดยาว ขอให้ติดตามกันต่อไปนะขอรับกระผม
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: แม็ท ที่ 25/มี.ค./13 10:05น.
ด้วยสงสัย ในวจี กวีวรรค
พึ่งประจักษ์ กาพย์ โคลง กลอน วอนสืบสาน
ขอขอบคุณ คุณลุง 'ชบาบาน'
รวมทั้งท่าน 'รุ่นโบราณ' สานต่อเติม

วอนมวลมิตร พี่น้อง ทั้งผองเพื่อน
ไม่ลืมเลือน เตือน,ชี้แจง แต่งมาเสริม
ร้อยอักษร กาพย์กลอนไว้ ให้เมือนเดิม
ช่วยกันเพิ่ม เติมแต่ง มาแบ่งปัน

เนื่องข้าฯน้อย ด้อยวาจา ภาษาศิลป์
พึ่งหัดบิน เรียงภาษา มาสร้างสรรค์
มาฝากชาว 'เพลงพักใจ' ให้รู้กัน
ฝากไว้ก่อน แค่สั้นสั้น สามบทเอย


ขอคารวะครับท่านคุณลุง ชบาบาน ผมเองก็ไม่ค่อยรู้ลึกมากนัก เกี่ยวกับ กาพย์ กลอน แต่ก็พอมาอ่านที่คุณลุงอธิบายไว้ ถึงได้เข้าใจ ก็ขอฝากท่านอื่นๆด้วยนะครับที่พอจะแต่งบทกลอน บทประพันธ์กันได้ ก็มาลองแบ่งปันๆกันครับ จะได้มีอ่านกันเรื่อยๆ ขอบคุณครับ

หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 25/มี.ค./13 15:36น.
ท่าน"แม้ท เมืองชล" ก็มาแล้ว ด้วยบทกลอนที่เจ้าตัวว่ายังไม่สันทัด  แต่ที่จริงท่านก็มีฝีไม้ลายมือหาด้อยกว่าผู้อื่นไม่  ขอบพระคุณขอรับกระผม มาอีกนะ
มาบ่อยๆยิ่งดี 
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 25/มี.ค./13 16:22น.
อาจารย์นภาลัย ฤกษฺ์ชนะ  เป็นประธานชมรมวรรณศิลป์จุฬาฯ ในปี2507 ทำงานเป็นครู
ทำงานธนาคาร  เคยไปเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยที่ฮันกุ๊กเกาหลีใต้อยู่ประมาณ10 ปี คู่ชีวิตอาจารย์ก็เป็น
นักกลอนฝีมือดีเช่นกัน  กลับจากเกาหลีก็ทำงานหนังสือพิมพ์ ในที่สุดก็เข้าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมมาธิราช
   อาจารย์ นภาลัยฝักไฝ่เรียนรู้เกี่ยวกับกลอนมาตั้งแต่ชั้นมัธยม  แข่งขันการเขียนบทกวีได้รางวัล
ชนะเลิศมาหลายครั้งหลายหน  ลีลากลอนแปดของท่านหลือร้าย  ใช้ถ้อยคำที่สวยงามสละสลวย  และความคิดอ่าน
ทันสมัยเสมอมา  เคร่งครัดต่อฉันทลักษณ์  เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษา  มีบทกลอนที่ดีๆออกมามากมาย เนื้อหาของ
แต่ละบทสร้างสรรชัดเจน  การเลือกใช้ถ้อยคำกระทัดรัดแต่ความหมายยิ่งใหญ่  พรรณาโวหารลึกซึ้ง สำผัสเรียง
ร้อยถ้อยคำลื่นไหลสดสวย  หามาอ่านประทืองปัญญาและอารมณ์กันเถิดขอรับ

   หมอบพับเพียบเลียบริมน้ำปริ่มฝั่ง
   ตะแคงฟังนิยายเพลินจากเนินหญ้า
   ระบำมดคดเคี้ยวลับเคียวตา
   หยาดน้ำฟ้าลากลิ้งทิ้งใบบอน

   แมลงปอเกาะหินเลื่อมปิ่นรุ้ง
   ผีเสื้อพุ่งอวดแพรแผ่ปีกร่อน
   กิ้งกือหักความอายออกกรายกร
   กะรอกหย่อนลูกหว้าหยั่งท้าทาย

   เมื่อเอนพิงอิงพักหนุนตักหล้า
   แนบเงาฟ้าในน้ำเปี่ยมความหมาย
   ธรรมชาติวาดแต้มอย่างแย้มพราย
   และโลกส่ายกายหมุนด้วยคุ้นเคย

   เหม่อมองฟ้าสีฟ้ากว้างกว่ากว้าง
   คิ้วรุ้งค้างเนตรสูรย์มุ่นหมอกเสย
   แย้มเสี้ยวเมฆยิ้มแดดสีแสดเอย
   หัตถ์ลมเชยเผยแก้มแพลมยิ้มพลัน

   แล้วสบตากับเรา-เงาในน้ำ
   ไหลลำนำฉ่ำใจคล้ายเคลิ้มฝัน
   พิสุจนิ์ใสไล้หล้ารับตาวัน
   กล่อมดวงขวัญล่องลิบทิพยา
   
   เรามองโลกสดใสในวันนี้
   ด้วยใจที่อ่อนวัยไร้เดียงสา
   ทุกสิ่งช่วยอวยสุขทุกเวลา
   หากวันหน้าเป็นอย่างไร....ไม่อาจรู้

   จากบทกลอน"ห้วงคำนึง ของ จิรนันท์ พิตรปรีชา คัดลอกจาหนังสือ"ใบไม้ที่หายไป"
ชื่อนี้คอหนังสือย่อมประจักษ์ว่าเป็นเช่นไร  รางวัลซีไรท์ปี2532 เป็นหลักประกันความยิ่งใหญ่
อลังการ์ของกวีสาวชาวเมืองตรัง! 


หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 29/มี.ค./13 21:07น.
ดูเหมือนบทกลอนห้วงคำนึงนี้  จะเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษา
อยู่กระมัง  เนื้อหาจึงค่อนข้างพรรณาธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่  กระผมชื่นชอบอยู่วรรคหนึ่ง ที่
เป็นวรรคทองในใจตัวกระผมเอง  คือคำว่า"...ระบำมดคดเคี้ยวจากเรียวตา..." มันบอกไม่ถุกว่าอารมณ์ความรู้สึก
เป็นเช่นไร  คำคำนี้ให้ความหมายสุดที่บรรยายได้จริงจริง  เพียงหลับตาเห็นภาพตามนั้น  นี่เป็น
ความสามารถพิเศษที่นักกลอนท่านอื่นทำไม่ได้เหมือนท่าน
   หลังเหตุวิปโยคครั้งใหญ่  ถือเป็นยุคใหม่ของท่านกวีผู้นี้  จากหนุ่มสาวสลักเสลาบทกลอนอ่อนหวาน
มาเป็น"....เปลี่ยนมือที่อ่อนนิ่มเป็นลิ่มเหล็ก"  ข้อคิดข้อเขียนที่ทยอยออกมาแข็งแกร่งกร้าวกร้านด้วยความรู้สึก แม้ถ้อยคำที่
ใช้ก็เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งอุดมการณ์  บทกลอนที่ออกจากป่าจึงมีชีวิตชีวา  เช่น..
   ....จากอ้อมอกมารดามานอนดิ้น   
   เลือดคลุกดินมารดา ใช่! กล้าแกล้ว
   เหนือสุสานลานสละแต่ละแนว
   ยังคงแผ่วเสียงพร่าการฆ่าฟัน

   ก้อนเมฆขาวคงขุ่นข้องต้องร่ำไห้
   แม้ฝนใสไม่อาจล้างได้อย่างฝัน
   กลางไฟฟ่องฟองเลือดดินเดือดควัน
   ธงแห่งสันติภาพชูอยู่แสนไกล.....
   ความจริงงานของ จิระนันท์ พิตรปรีชา  มีออกมาหลายชุด  แต่ชุด"ใบไม้ที่หายไป"นี่ถือได้ว่า
เป็นชุดอลังการณ์สำหรับเธอทีเดียว  ท่านใดที่ยังขาดอยู่ลองเสาะหามาอ่านดู




หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 17/เม.ย./13 20:50น.
             สมัยที่ยังหนุ่มแน่น  ไฟฝันในฉันทลักษ์กำลังรุ่งโรจน์  กระผมติดตามอ่านบทกวีทุกรูปแบบ
แต่ช่วงนั้นวงการกวีอยู่ในยุคของ"เฟื่องการรัก "  กลอนที่เกี่ยวกับความรักได้รับความนิยมสูงสุด  นัก
กลอนมือดีสลักเสลาบทกลอนออกมามากมาย  เกิดกวีมากหน้าหลายตา 
   มีนักเขียนกลอนอยู่ท่านหนึ่ง  กระผมนับถือเป็นอาจารย์  เป็นแม่แบบ  ตั้งแต่บัดนั้น จนทุกวันนี้
ท่านนั้นคือ" เจษฎา วิจิตร" ท่านนี้เขียนกลอนรักได้เยี่ยมมาก  กระผมหลงใหลเอามากๆ ขอยกเอามาสักบท
        ถ้าไม่รักเธอได้จะไม่รัก 
   จะยอมหักเหใจไปทางอื่น
   ถ้าลบวันเก่าเก่าได้จะให้คืน
   ทั้งความชื่นความช้ำแล้วอำลา

   เมื่อแรกรักปักใจมิได้คิด
   ว่าจะผิดจนเป็นข้อครหา
   เราต่างทั้งฐานะปริญญา
   ต่างจนค่าหัวใจแทบไม่มี

   เพราะเธอสูงสุดสอยเหมือนลอยฟ้า
   จึงกดค่าความรักสิ้นศักดิ์ศรี
   เมื่อรักสอนหัวใจให้ใยดี
   ก็เหมือพลีตนเป็นทาสอำนาจเงิน

   ด้วยเธอดีมีค่ายิ่งกว่าแก้ว
   จึงควรแล้วที่ฉันจะสรรเสริญ
   ยอมสละละชั่วไม่มัวเพลิน
   คนยังเมินหน้าเยาะว่าเพราะกลัว

   รวมความแล้วคุณค่าหาไม่ได้
   ทำดีไปคนเขาก็เฝ้าหัว
   เลวก็ว่าไม่รู้สึกสำนึกตัว
   จึงคนชั่วเกินจะปรับตนกลับคืน

   ถ้าไม่รักเธอได้จะไม่รัก
   จะยอมหักเหใจไปทางอื่น
   แต่ใจเอ๋ยน่าชังรักยั่งยืน
   สุดจะขืนหัวใจมิให้รัก!.
   
   กลอนบทนี้ออกมาในราว พ.ศ.๒๕๑๑ แม้เวลาจะล่วงเลยมานานเป็นครึ่งศตวรรษ
แต่เนื้อหาถ้อยคำสำนวนยังทันสมัยอยู่เสมอ  นี่คือลีลาของ"เจษฎา วิจิตร" คนที่กระผมเคารพเป็น
อาจารย์  จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าท่านยังอยู่ดีหรือไม่  ไม่อาจทราบได้  ท่านใดพอจะรู้ข่าวคราว
เมตตาเขียนเล่ามาบ้าง.
   


หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 23/พ.ค./13 10:41น.
ขอเขียนถึงยอดกวีหญิงอีกท่านหนึ่ง  ที่กระผมยอมซูฮกให้เป็นสุดยอดกวีหญิงที่ใช้คำได้
ไพเราะกินใจ   คำแต่ละคำที่ใช้มันลึกซึ้งสะท้านทรวงทีเดียว!!
   สงสารตาที่ทวงถามความเป็นเพื่อน
   รู้ก็เหมือนไม่รู้อยู่ทุกสิ่ง
   ยิ่งคิดมากยากเลือนเธอเพื่อนจริง
   จึงได้ยิ่งปลีกตนยอมทนทุกข์
   
   ทุกทุกแห่งที่เราเคยก้าวย่าง
   ทุกทุกทางที่เราเศร้าและสุข
   ทุกทุกหนเราซานซมล้มแล้วลุก
   ทุกทุกครั้งที่เราปลุกปลอบแก่กัน

   แม้ทั้งหมดจดจำไว้ล้ำลึก
   นึกและนึกในใจยังไหวหวั่น
   หวาดวันที่จะมาถึงเข้าหนึ่งวัน
   วันที่ผันเราพรากจากกันไกล

   เดี๋ยวนี้ซ่อนตาเสมอกลัวเธอรู้
   ฉันคือผู้มีพิรุธสุดหวั่นไหว
   มิอาจเล่าทุกสิ่งจากจริงใจ
   มีอะไรอย่างหนึ่งซึ่งปิดบัง

   โอ้ว่าเพื่อนจะได้คิดสักนิดไหม
   ทุกวันนี้หวั่นไหวเจียนใจคลั่ง
   ความรู้สึกหนึ่งแปลกแทรกประดัง
   รอแต่ยังจะอ่อนแอพ่ายแพ้ลง

   ถ้าวันไหนไผลเผลอให้เธอรู้
   ฉันคือผู้สิ้นศักดิ์ลงรักหลง
   ความอับอายมานะและทะนง
   มันก็คงจะพรากฉันจากเธอ.
   
   จากบทกลอนชื่อ"เพื่อน" ในหนังสือ"เพลงพร"ของ"นิภา บางยี่ขัน"
นักกลอนสาวชั้นแถวหน้าของวงการ 
   นิภา บางยี่ขัน  เขียนบทกวีได้อารมณ์ที่ดื่มด่ำล้ำลึก  ใช้คำที่ให้ภาพพจน์ชัดแจ้ง
สอดแทรกวรรคทองไว้มากมาย  แต่ที่โด่งดังจนยากจะลืม  ผู้คนที่เวียนว่ายในวงวรรณ ต่าง
จดจำผลงานของ นิภา บางยี่ขันบทที่ว่า
   ภาพคืนวันพระจันทร์พริ้มน้ำปริ่มเขื่อน
   ลงลอยเลื่อนเรือนักรักภาษา
   นั่งท้าวแขนบรรสานขานสักวา
   ชนะกลอนแพ้ตา..จึงปราชัย
   คัดลอกบทนี้จากหนังสือ"นิราศกรุงเก่า" เป็นการรวมบทกวีที่ร่วมกันแต่งของ
นักกลอนร่วมสมัย 48 ท่าน  ในการลงเรือเพลงล่องเจ้าพระยา  การประพันธ์ในลักษณะนิราศ
พิมพ์ในปี 2528
   บทกวีที่ยกมากล่าวถึงนั้นเข้าใจว่าท่าน"นิภา บางยี่ขัน"แต่งร่วมในคราวนั้น  และ
เป็นการแต่งแบบถอดใจมาเลย  เพราะผู้ร่วมเรือเพลงครั้งนั้นมีท่านหนึ่งได้เป็นผู้ร่วมนาวาชีวิต
กับท่านนิภา บางยี่ขัน ในชีวิตจริง.

   
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 23/พ.ค./13 11:02น.
เห็นกระทู้กลอนของโปรดแล้ว อ้ะ ไม่ได้ต้องร่วมแจมหน่อย เห็นกลอนแล้ว ก็นึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยเรียน ได้อ่านกลอนเก่าๆ ความรู้สึกเก่าๆที่เคยลึมก็สามารถรื้อฟื้นขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับเพลง น่าแปลกนะ

จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งเกิดมีอารมณ์สุนทรีย์นึกถึงบทกลอนพระราชนิพนธ์ ร.5เรื่องเงาะป่า ตอนนางลำหับเดินชมดอกไม้ไปตามทาง จำได้เลาๆ เลยค้นหาในเว็บ แปลกนะหาไม่เจอเลย ผมนึกฮึดขึ้นมาเลยไปนั่งค้นหาในห้องสมุดประชาชน เจอแล้วเลยจดไว้และเอามาเผื่อแผ่เพื่อนๆที่ร่วมสมัยและมีความรู้สึกที่คล้ายๆกันหน่อย

เมื่อนั้น
นวลนางลำหับพิศมัย
ครั้นรุ่งรางส่างแสงอโนทัย
ทรามวัยแต่งตัวไม่มัวมอม
สวมมะกล่ำกำไลสายสร้อย
ตุ่มหูพวงห้อยดอกไม้หอม
หวีไม้ไผ่บรรจงเป็นวงค้อม
ล้วนรายล้อมเหน็บประดับรับมวย   
แล้วจับจองคล้องไหล่ไว้เบื้องหลัง
ไม่รุงรังเข้าทีดูดีสวย
ชวนไม้ไผ่ลีลาศนาดนวย
รื่นรวยเข้าในดงพงพี   
ครั้งถึงซึ่งที่มีบุปผา                  
ดวงสุดาปรีดิ์เปรมเกษมศรี
กรีดเล็บเก็บพวงสุมาลี                  
นารีขับเพลงบรรเลงใจ   
ยามเช้า                                 
อุระเราชื่นแช่มแจ่มใส
สู้บุกป่ามาดมชมดอกไม้    
ข้าขอบใจมาลีที่เบิกบาน
เหมือนมาลีมิให้เรามาเก้อ   
เผยเผยอกลีบประทินกลิ่นหอมหวาน
สายหยุดดกย้อยห้อยพวงยาน   
กลิ่นซาบซ่านนาสาดอกน่าเชย
มะลิวัลย์พันกอพฤกษาดาด   
เหมือนผ้าลาดขาวลออหนอน้องเอ๋ย
รสสุคนธ์ขึ้นเป็นดงอย่าหลงเลย   
กำลังเผยกลีบเกสรสลอนชู
โน่นแน่อุ๊ยสารภีไม่มีใบ                 
เหมือนต้นไม้ทองตั้งอยู่ทั้งคู่
แมลงล้อมตอมว่อนเสียงหวี่วู    
ไม่มีผู้ช่วยสอยน้อยใจเอย”
มาลี                                  
ดอกดังสีบานเย็นเห็นฤาไม่
ผีเสื้อร่อนว่อนอยู่ดูวิไล    
งามกระไรหนอผีเสื้อช่างเหลืองาม
กินอะไรเกิดที่ไหนผีเสื้อเอ๋ย   
อย่าปิดเลยตอบต่อที่ข้อถาม
น้องจะได้ไปเกิดไปกินตาม   
ให้อร่ามเหมือนผีเสื้อเหลือสวยเอย  
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 23/พ.ค./13 13:28น.
กราบกรานคารวะท่านปรมาจารย์"สหัสวรรษ"  ที่เมตตาเข้ามาเยี่ยมเยือน  ไม่มามือเปล่าหอบหิ้วส่วนหนึ่งของวรรณกรรม
เข้ามาแจมให้คนรุ่นหลังรู้จักของดีๆ   มาอีกนะขอรับ  สิ่งดีๆในวรรณกรรมจะได้ไม่สูญหาย  คนอย่างท่านคนอย่างกระผม
แลหลายๆท่านที่ปรากฎในห้องนี้  ถือได้ว่าเป็นผู้บำรุงรักษามรดกไทยไว้สืบไป  ขอบคุณมากๆขอรับกระผม
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 23/พ.ค./13 14:34น.
สวัสดีครับท่านชบาบาน
พูดถึงเรื่องกาพย์กลอนนี้ ของโปรดผมนานแล้ว เพียงแตหาคนรสนิยมเดียวกันมาคุยเรื่องเดียวกันยาก เหมือนเราไปดูหนังเรื่องนึงรู้สึกว่าสนุกมาก ครั้นจะหันหน้าไปคุยกับคนข้างๆ เขาก็ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ จะอธิบายว่าสนุกยังไงก็ลำบาก อึดอัดชะมัด

มีอยู่ช่วงที่ผมรวบรวมบทโคลง กลอน กาพย์จากเว็บมาปลีกวิเวกอยู่คนเดียว ไหนๆก็ไหนๆ ผมเลยเอากาพย์ยานี11 เกี่ยวกับ20ไม้ม้วนมาฝาก อืม กาพย์ยานี11 เนี่ยถือเป็นบทร้อยกรองที่แต่งง่ายอ่านง่าย นึกถึงสมัยเด็กมีนิยายภาพการ์ตูนก็บรรยายด้วยกาพย์ยานี11 เหมือนกัน สมัยนี้หาไม่มีแล้ว


20 ไม้ม้วน สูตรเก่า

: ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่
ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ มิหลงใหลใครขอดู
จะใคร่ลงเรือใบ ดูน้ำใสและปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง
เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี

: ใฝ่ใจให้ทานนี้
ใฝ่ใจให้ทานนี้ นอกในมีแลใหม่ใส
ใครใคร่แลยองใย อันใดใช้อย่าใหลหลง
ใส่กลสะใภ้ใบ้ ทั้งต่ำใต้และใหญ่ยง
ใกล้ใบแลใช่จง ใช้ให้คงคำบังคับ

: สะใภ้ใหม่
สะใภ้ใหม่ใส่ใจใคร่ อย่าหลงใหลใช่สิ่งดี
เยื่อใยในสามี หน้าสดใสเป็นใบบุญ
ต่ำใต้ใช้ใกล้ชิด บ้าใบ้จิตใฝ่การุณ
ผู้ใหญ่ใครมีคุณ สิ่งใดช่อบให้ตอบแทน

20ไม้ม้วน  สูตรใหม่

ผู้ใหญ่ บ้านสะใภ้ เห็นสาวใช้ นิสัยดี
ใส่ใจ ใฝ่ฝันมี แสนหลงใหล ใคร่ขอดู
สายใย แห่งใบรัก ใกล้ฟูมฟัก อยากอุ้มชู
เมียเก่า แอบในตู้ เมียใหม่อยู่ ใต้ตั่งเตียง
เมียเก่า หัวเราะใส เป็นผู้ใด มิให้เสียง
ใช่ใคร นางส้มเกลี้ยง เป็นใบ้บ้า น่าฆ่ามัน
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 24/พ.ค./13 05:45น.
ตอนเป้นเด็กนักเรียน ก็ได้เคยท่องจำ 20 ไม้ม้วนเช่นกัน   สมัยนี้ไม่แน่ว่าเด็กจะยังท่องอยู่หรือไม่
ขอบคุณขอรับ ที่เอานำสิ่งดีๆม่าเผยแพร่
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 24/พ.ค./13 08:51น.
สวัสดีครับท่านชบาบาน
กระทู้นี้จะมีคนคุยกันแค่2คนมั้ยนะ ไหนๆคุยกันเรื่องกลอนแล้ว เลยอยากแสดงฝีมือมั่ง เอาบทกาพย์ยานีที่แปลมาจากบทกลอนลำนำจริยาขนาดย่อมของท่านโจโฉ กวีเอกจีนอีกท่านหนึ่งในสมัยสามก๊ก คนไทยน้อยคนนักจะรู้ว่าท่านถนัดทางด้านกลอน แต่บทกวีบทนี้กำหนดในการศึกษาระดับมัธยมของจีนว่าต้องท่องจำให้ได้ ผมเลยยกทั้งต้นฉบับภาษาจีน กาพย์ยานีภาษาไทย และบทเพลงในละครเรื่องสามก๊กมาเพื่อให้เต็มรูปแบบ เคยแปลให้เพื่อนอ่านในเว็บมานานแล้ว เลยจับมาใส่ในขวดใหม่ซะเลย จะใช้ยูทูป มันเปลี่ยนรูปแบบจนเราเอามาแปะไม่ถูก เลยโดดเข้าเว็บจีนไปเอามาดื้อๆเลย แต่บางครั้งเปิดแล้วจะมีโฆษณาประมาณ10วิ อย่าแปลกใจ

http://www.tudou.com/v/VvskQ7i_2J0

短歌行
  
  对酒当歌,人生几何?
  譬如朝露,去日苦多。
  慨当以慷,忧思难忘。
  何以解忧?唯有杜康。
  青青子衿,悠悠我心。
  但为君故,沈吟至今。
  呦呦鹿鸣,食野之苹。
  我有嘉宾,鼓瑟吹笙。
  皎皎如月,何时可掇?
  忧从中来,不可断绝。
  越陌度阡,枉用相存。
  契阔谈宴,心念旧恩。
  月明星稀,乌鹊南飞,
  绕树三匝,何枝可依?
  山不厌高,海不厌深。
  周公吐哺,天下归心。

(ลำนำจริยาขนาดย่อม)

ดื่มเหล้าพร้อมเหล่าเพื่อน ผู้มาเยือนเพื่อนชีวา
ชีวิตเรานี่หนา จะหามีซักกี่หน

ดั่งน้ำค้างพราวตา เวลาตรู่อยู่ไม่ทน
อนาถชีวิตคน หนทางช่างลำบากนัก

ถึงแม้จะอาจหาญ คึกทะยานมั่นหาญหัก
ยังเรื่องกังวลหนัก สลักใจไม่อาจลืม

อย่างนี้ทำไงได้ ถึงทำใจให้เป็นปลื้ม
เอ้าเพื่อนเรามาดื่ม เพื่อคลายเหงาที่เศร้าใจ

เหล่าพวกหนอนตำรา   คอยกวนข้าให้เขวไขว้
คอยรบกวนจิตใจ ให้ข้ามีที่รำคาญ

ยังแต่เจ้าชีวิต ที่ข้าคิดเกรงทัยท่าน  
เพื่อความสมานมั่น ฉันเลยเฉยจนถึงบัดนี้

แว่วแว่วเสียงเก้งกวาง ร้องเสียงกร่างดังอึงมี่
เคี้ยวหญ้าในไพรี มันช่างมีความสุขนัก

ข้ามีแขกมาแล้ว ซอปี่แก้วกลองตีหนัก
ดนตรีมีพร้อมพรัก ขับขานให้ใจเบิกบาน

พระจันทร์อันสกาว ส่องแสงพราวพร่างบนลาน
ไฉนใจข้าหาญ อยากเก็บมันมาแนบไว้

พลันเกิดความกังวล อันล้นพ้นขึ้นในใจ
มิอาจระงับได้ ให้หมองหม่นเหลือทนนัก

ฝ่าเขาลำเนาไพร ที่ไกลๆไม่หยุดพัก
แต่ผลที่ได้มัก ไม่คุ้มกับที่คาดหวัง

คุยกับคนรู้ใจ เหล้าในไหเกลี้ยงเป็นลัง  
แต่ใจเราก็ยัง รำลึกถึงคนแก่เก่า

ในคืนที่จันทร์แจ่ม ไร้ดาวแซมแจ่มใจเรา
นกกาพลันร้อนเร่า เฝ้าบินไปในทิศใต้

เจอไม้ใหญ่วนเวียน เฝ้าแต่เพียรหากิ่งไม้
วนแล้วสามรอบไซร้ ไม่มีที่จะอาศัย

ขุนเขาทะยานเมฆ ยิ่งสรรเสกยิ่งสูงใหญ่
ทะเลลึกสุดใจ ใครหยั่งได้ให้บาทเดียว

โจวกงกินข้าวอยู่ รู้ใครมาพ่นข้าวเชียว
ทำได้ไม่ลดเลี้ยว ทั้งโลกหล้ามาสยบ

หมายเหตุ
โจวกงในที่นี้หมายถึงจีต้าน เป็นลูกชายคนที่สีของจิวบุ๋นอ๋อง เป็นน้องชายจิวบู๊อ๋อง ช่วยจิวบู๊อ๋องในการพิชิตติ้วอ๋อง กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ซาง และสถาปนาราชวงศ์โจว ตามบันทึกประวัติศาสตร์ โจวกงเป็นคนที่ชอบหาคนมีความรู้ความสามารถเรียกว่า  (มองหาคนดีราวกับกระหายน้ำ)  โจวกงกลัวว่าจะสูญเสียคนดีของแผ่นดิน มีหลายครั้ง เวลามีคนมีความสามารถมาหา ยังสระผมอยู่ ก็รีบจับผมที่ยังไม่ได้หวีออกมาต้อนรับ บางทีรับทานข้าวอยู่ ได้ยินว่ามีแขกมา ก็รีบพ่นข้าวที่ยังไม่เคี้ยวออกมาต้อนรับแขกเหรื่อ  คำว่า(โจวกงพ่นข้าว) เลยกลายเป็น成语(คำสำเร็จรูปเชิงสุภาษิตเปรียบเปรย)  ที่แปลว่ากระตือรือร้นในการต้อนรับแขกเหรื่อ
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 24/พ.ค./13 20:30น.
ซาบซึ้งในวิริยะอุตสาหะของท่า"สหัสวรรษ"เป็นที่ยิ่งขอรับ  นำการขับขานบทกวีของชาวจีนมาให้ฟังกัน นึกไม่ถึงว่าโจโฉก็เป็นกวีชั้นแนวหน้า
เสียงร่ายโศลกในวีดิทัศน์ได้อารมณ์มากๆ ทั้งๆที่กระผมไม่รู้ภาษาจีน  น่าอิจฉาท่านที่เชี่ยวชาญแตกฉานในภาษาจีน  ดูท่าจะเคยเป็นนักศึกษา
จากที่โน่นมา ส่วนเนื้อหาที่ท่าน"สหัสวรรษ"แปลมาเป็นกาพย์ก็ร้อยเรียงได้ลื่นไหลเป็นอย่างยิ่ง  พนมมือคารวะขอรับกระผม
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงชัย นรา ที่ 25/พ.ค./13 00:21น.
..ผมขอชื่นชม ท่านชบาบานมากๆ เลยครับ ที่เปิดห้องนี้ขึ้นมา ผมคนหนึ่งละที่ชื่นชอบ การขีดเขียน ไม่ว่าจะเรื่องสั้น บทกวี บทกลอน แต่ก็ไม่เอาถ่านสักเท่าไหร่ เมื่อสมัย เป็นนักเรียน ก็เขียนหนังสือ ไปลง(ตะกร้า)ที่นั่นที่นี่ บ้าง แต่ที่ชอบมาก คือ บทกลอนชมธรรมชาติ..ก็พอจะเขียนได้บ้าง แต่ต้องมีสิ่งประกอบ คือ บรรยากาศ อารมณ์ สิ่งแวดล้อม เมื่อก่อนนี่ไม่เท่าไหร่ จะเขียนได้ไวมาก แต่ตอนนี้แก่แล้ว สมองทำงานช้า เหมือนเครื่องดีเซล ต้องเผาหัวนานมาก กว่าจะออกมาแต่ละชิ้นงาน งานที่เพิ่งผ่านมา 2 ชิ้นนี่ ก็ได้ไปเที่ยวที่เกาะหลีเปะ สตูลมาก็พอมีอารมณ์ เขียนส่งมา ถ้ายังไง ท่านชบาบาน ติ และท้วงติงได้นะครับ ยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ครับ ขอขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 25/พ.ค./13 07:40น.
แหม...กระผมหรือจะเตือนลุงชัยได้ สีมือท่านราบรื่นสละสลวยดียิ่งอยู่แล้ว  วัยวุฒิแลคุณวุฒิของท่านเป็นตัวการันตีท่านลุงชัยเอง  พูดถึงความแก่ก็เช่นกัน
แก่มะพร้าวนี่มันเยี่ยมนาขอรับ  มาแวะเวียนกันบ่อยๆนะขอรับ  ช่วยกันพัฒนาห้องนี้  เพื่อดำรงความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนแบบไทยๆฝากไว้ให้ลูกหลาน
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 25/พ.ค./13 08:17น.
สวัสดีครับลุงชัยกับท่านชบาบาน
พูดถึงบทกลอนธรรมชาติ ผมก็นึกถึงบทกลอนที่เคยท่องสมัยเด็ก บรรยายเห็นฉากธรรมชาติในป่า ยิ่งเด็กเล็กๆกำลังอยู่ในช่วงจินตนาการกว้างไกลด้วย เลยเอามาฝาก กลอนบทนี้ประทับใจไม่หาย

๏ ๏สัตว์สวยป่างาม ๏ ๏
จาก - มูลบทบรรพกิจ -
ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย)

เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน   เหมือนอย่างนางเชิญ
พระแสงสำอางข้างเคียง
เขาสูงฝูงหงส์ลงเรียง   เริงร้องซ้องเสียง
สำเนียงน่าฟังวังเวง
กลางไพรไก่ขันบรรเลง   ฟังเสียงเพียงเพลง
ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง
ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง   เพียงฆ้องกลองระฆัง
แตรสังข์กังสดารขานเสียง
กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง   พญาลอคลอเคียง
แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง
ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง   เพลินฟังวังเวง
อีเก้งเริงร้องลองเชิง
ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง   ค่างแข็งแรงเริง
ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง
ป่าสูงยูงยางช้างโขลง   อึงคะนึงผึงโผง
โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป  
 

หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 25/พ.ค./13 14:41น.
หนังสือมูลบทบรรพกิจ  เป็นแบบฉบับร้อยกรองที่ยิ่งใหญ่  จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีหนังสือใดเทียบเท่าใด้เลย  ขอบคุณท่านสหัสวรรษที่นำมาเสนอบทที่ดีๆอย่างบทนี้
ให้อะไรหลายอย่าง หลับตาเห็นภาพ  ในบทนี้พรรณาความให้เห็นอาการร่าเริงของบรรดาสัตว์ป่า  ออกเสียงเป็นดนตรีชนิดต่างๆ  กระผมยังงงๆกับดนตรีบางอย่าง
เช่นที่ว่า"...ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง..." ซอน่ะรู้จัก  แต่"เจ้ง"คืออะไร  กระผมเดาเอาว่าเจ้งคือดนตรีจีนชนิดหนึ่ง  ที่เรียกกันว่า"กู่เจิ้ง" ใช่หรือไม่ขอรับ ดนตรีกู่เจิ้งเสียงเพราะมาก
ท่านสหัสวรรษ เป็นผู้ชำนาญกรณีย์ทางแผ่นดินใหญ่  น่าจะบอกเล่าสู่กันฟังได้บ้าง  คุยกันสนุกๆเป็นความรู้ทั่วๆไปเท่านั้นเอง ขอรับ
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 25/พ.ค./13 15:12น.
เช็คดูในเว็บแล้ว สารานุกรมไทยเขาอธิบายว่า ๑๘๑๔. ซอเจ้ง  เป็นเครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่ง มีสายสำหรับดีดคล้ายจะเข้ (ดูจะเข้และเจ้ง - ลำดับที่ ๑๒๙๔ และ ๑๔๖๓)          หน้า ๖๖๒๗ ก็น่าจะสรุปว่าน่าจะใช่กู่เจิงแหละ
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงชัย นรา ที่ 25/พ.ค./13 22:59น.
...แหม..ชื่นใจ..และยินดีมากๆทีมีผู้รู้เข้ามาเสริม ทักษะ ความรู้ให้ในหน้านี้ กลอนบทนี้เคยท่อง เมื่อสมัยเป็นนักเรียนตัวน้อยๆอยู่..ขอขอบคุณท่านสหัสวรรษ ที่ช่วยย้อนอดีตความทรงจำ..และขอขอบคุณท่านชบาบานที่เป็นผู้ดูแลห้องนี้ครับ
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 26/พ.ค./13 08:03น.
ไปค้นในกรุเก่าๆที่ไปเกี่ยวเก็บมา มาถึงบทมหัศจรรย์บ้าง เก็บไว้นานจะเน่าเปล่าๆ เลยเอามาให้ซาบซึ้งกัน
บทอัศจรรย์จากเรื่อง พระอภัยมณี
       ๏  เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด   กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง
กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง   ปักเป้าเหวี่ยงยักกะแผละกระแซะชิด
กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพร่องกระแพร่ง   ปักเป้าแทงตะละทีไม่มีผิด
จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด   ประกบติดตกผางลงกลางดิน
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 26/พ.ค./13 13:14น.
บทอัศรรย์ที่ท่านสหัสวรรษยกของพระอภัยมณีมานำเสนอ  ก็เป็นบทหนึ่งถ้าเป็นหนังก็เรท R ทีเดียว   กระผมก็มีประสบการณ์บทอัศจรรย์บทนี้  สมัยที่
พอเริ่มอ่านหนังสือแตกอ่านให้ยายฟัง  พอถึงตอนอัศจรรย์บทนี้ยายบอกว่า พอ..พอ  แล้วลูกไม่ต้องอ่านข้ามมันไปเลย   ตอนนั้นก็ไม่ค่อยรู้เหตุรู้ผล
เมื่อภายหลังพอจะรู้อะไรขึ้นมาบ้างก็นึกขำไม่หาย   บทอัศจรรย์ของวรรณกรรมน่าจะมีท่านใดท่านหนึ่งค้นคว้านำมาจากวรรณกรรมสมัยเก่ามาชำแหละให้เป็นเรื่อง
เป็นราวเห็นท่าจะน่าสนุก  ท่านสหัสวรรษแลท่านลุงชัย เห็นด้วยไหมขอรับ 
ยังมีวรรณกรรมอีกฉบับหนึ่งน่าศึกษามาก  ไม่ทราบท่านสหัสวรรษเป็นคนใต้หรือไม่  ท่านลุงชัยแน่นอนอยู่แล้ว  คนใต้จะมีวรรณกรรมใต้ดินอยู่ฉบับหนึ่งโด่งดัง
มากคือ"สรรพลี้หวล"  วรรณกรรมคำผวนที่อ่านแล้วเขย่าซี่โครงได้นานมาก  กระผมเคยคัดลอกกับเครื่องคอมแจกเพื่อนพ้องในวงการวิทยุสมัครเล่น
อยู่คราวหนึ่งนานมาแล้ว  ปรากฎว่ามีเสียงเฮฮาคะรึกคะรื้นกันยกใหญ่  ทั้งสองท่านเคยผ่านตาวรรณกรรมฉบับที่ว่านี้ไหม  ขอรับ
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงชัย นรา ที่ 26/พ.ค./13 16:31น.
...ผมมีอยู่ในครอบครอง 1 สำเนาครับ หวงยิ่งกว่าทอง เพราะหายากมาก...ได้มาจากเพื่อนครูรุ่นน้อง เขาไปสัมมนาที่นครศรีฯ เพื่อนๆเขาถ่ายเอกสารมาแจกกัน..สมัยเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา..ผมเลยใช้เป็นแนวทางแต่งกลอน เสมอมาครับ ท่านชบาบาน...
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 26/พ.ค./13 17:00น.
สรรพลี้หวล ผมไม่เคยรู้จัก อาจจะห่างจากวงการไปนานทั้งๆที่เป็นคนใต้ เลยไปค้นหาดูในเว็บ ก็เห็นว่ามีบันทึกในสมุดใบข่อย เลยจัดการก๊อปไว้ตามระเบียบ อ่านดูแล้วเป็นกลอนในแนวตลกโปกฮา ทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนดูหนังตะลุง ยิ่งตนดึกๆด้วยละก้อ อื้อหือ แต่สรุปแล้วก็ได้แค่ความสะใจเท่านั้น หาคำว่าศิลปะไปเจอ ผมขอลอกข้อความที่ผมก๊อปมาทั้งดุ้นมาให้ดูนะครับ ข้อความนี้ผมเห็นด้วยโร้ยโปเซ็ง

ในวรรณคดีไทยมักมีบทอัศจรรย์ แทรกอยู่ด้วย เรื่องความรักและเพศสัมพันธ์ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ในการพรรณนาฉากรักฉากพิศวาสของตัวละครหญิงชาย กวีไทยไม่นิยมกล่าวตรงไปตรงมา แต่จะกล่าวถึงโดยใช้กลวิธีการเปรียบเทียบหรือใช้ สัญลักษณ์แทน บทนี้เรียกว่า “บทอัศจรรย์” กล่าวคือกวีใช้ธรรมชาติเป็นสัญลักษณ์แทนการแสดงพฤติกรรมทางเพศ บทอัศจรรย์จึงเป็นบทที่ต้องใช้ความสามารถในการแต่ง เพื่อให้เป็นงานศิลปะมิใช่อนาจาร

ไหนๆเว็บนี้เป็นเว็บเพลง ผมเลยอยากเอาบทกลอนที่มาแต่งเป็นเพลงมาให้ฟังกัน เป็นพระราชนิพนธ์ ร.6 ร้องโดยเพ็ญศรี พุ่มชูศรี จะใส่ยูทูปใส่ไม่ถูก โทษที

ดวงใจ
     คำร้อง บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖
ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
โอ้ว่าดวงใจอยู่ไกลลิบ
เหลือจะหยิบมาชมภิรมย์สรรค์
เหมือนดวงดาว วาววาวอยู่ไกลกัน
ชิดสวรรค์สุดเอื้อมมาเชยชม
* เสียแรงชื่ออุษานารี
ไยไม่มีเทวามาอุ้มสม
ปล่อยให้นั่งฟูมฟกอกตรม
ร้อนระบม จิตใจดั่งไฟราญ
อ้าองค์เทวาสุรารักษ์
ทรงฤทธิ์สิทธิศักดิ์มหาศาล
ช่วยดลใจให้ชู้คู่ชีวัน
เสียวซ่านเสน่หามาไวไว


[/youtube]
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 27/พ.ค./13 09:19น.
เพลงนี้เป็นเพลงเก่านานมากแล้ว  ในทุกวันไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกันแล้วน่าเสียดาย จริงๆ    พูดถึงบทกวีที่เป็นเพลง
ก็ยังมีอยู่อีกไม่น้อย   บทกวีของท่าน ประสิทธิ์ โรหิตเสถียร  เคยเป็นเพลงเพราะๆตั้งหลายเพลง  คงเคยได้ยินได้ฟัง
กัน   แต่การนำเสนอเพลงสมัยนี้ไม่ค่อยแจกแจงความเป็นมาของเพลงสักเท่าไหร่ เช่นผู้แต่งคำร้อง ผู้แต่งทำนอง
มักเอาแต่ชื่อนักร้องเท่านั้น  จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้กัน
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงชัย นรา ที่ 27/พ.ค./13 22:58น.
        ข้อนี้ผมเห็นด้วย กับท่านชบาบานเป็นอย่างมากๆเลยครับ นักร้องไม่อาจจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนฟัง หากไม่มีครูเพลงช่วยกล่อมเกลา และช่วย เจียรนัย บา่งบริษัท ไม่ค่อยเห็นความสำคัญในข้อนี้ ไม่พิมพ์ชื่อ ผู้แต่ง คำร้อง/ทำนอง พิมพ์แต่ชื่อนักร้อง เขาคงไม่ทราบว่ากว่าเพลงแต่ละเพลง จะออกมาสู่คนฟัง ครูเพลงต้องกลั่นกรอง บีบเค้น ทั้งสมอง และอารมณ์สักขนาดไหน แถมบางยุค ยังมีนักร้องเนรคุณบางคนมาออกสื่อ ว่าหากเขาไม่ร้องเพลงของครูเพลงคนนี้ ก็ไม่มีใครรู้จัก เป็นเพราะเขาร้องเพลงให้ ครูเพลงเลยพลอยดังไปด้วย..น่าอนาถใจนะ แถมสุดท้าย...ครูเพลงคนแล้วคนเล่าที่ล่วงลับไปบางคนแทบไม่มีผ้าจะพันกาย ทั้งๆที่สร้างฐานะให้ เจ้าของบริษัท นักร้อง ร่ำรวยกันไป เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว...
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 28/พ.ค./13 17:23น.
ไปค้นกลอนเก่ามาใส่ขวดใหม่ กลอนนี้เป็นของกวีเอกหลี่ไป๋ สุนทรภู่จีน ถือบทกวีอมตะ แม้แต่ฝรั่งก็ยังศึกษาบทกลอนของท่าน ซีรี่ย์เรื่องเปาบุ้นจิ้นยังเอาข้อความบางตอนในกวีบทนี้ไปแต่งเป็นเพลงประกอบ ผมเลยเอาทั้งต้นฉบับภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และกาพย์ยานี11 มาให้เปรียบเทียบกันเลย เป็นกลอนที่แต่งขึ้นในงานเลี้ยงส่งท่านเสมียนซูหวิน เชิญทัศนาได้ ใครถนัดจีนจีน ใครปะกิตปะกิต หรือจะเพลิดเพลินไปกับกาพย์ยานี11ก็ได้

《宣州谢朓楼饯别校书叔云》
作者:李白
弃我去者,昨日之日不可留。
乱我心者,今日之日多烦忧。
长风万里送秋雁,对此可以酣高楼。
蓬莱文章建安骨,中间小谢又清发。
俱怀逸兴壮思飞,欲上青天览日月。
抽刀断水水更流,举杯消愁愁更愁。
人生在世不称意,明朝散发弄扁舟。

Seven-character-ancient-verse

    Li Bai

    A FAREWELL TO SECRETARY SHUYUN
    AT THE XIETIAO VILLA IN XUANZHOU


        Since yesterday had to throw me and bolt,
        Today has hurt my heart even more.
        The autumn wildgeese have a long wind for escort
        As I face them from this villa, drinking my wine.
        The bones of great writers are your brushes, in the School of Heaven,
        And I am a Lesser Xie growing up by your side.
        We both are exalted to distant thought,
        Aspiring to the sky and the bright moon.
        But since water still flows, though we cut it with our swords,
        And sorrows return, though we drown them with wine,
        Since the world can in no way answer our craving,
        I will loosen my hair tomorrow and take to a fishingboat.

จากข้าเวลาวาน พร่ำเรียกขานมิหวนคืน
รบกวนข้ายามตื่น คืนวันนี้ที่เศร้าโศก
ลมโบกโบยโชยพา ห่านป่ามาจากไกลโลก
มิควรจะวิโยค ร่ายโศลกยกเหล้าถอน
ท่านนั้นเปรียบประดุจ เป็นที่สุดแห่งสาคร
ตำราและอักษร อีกโคลงกลอนที่หาญกล้า
เราสองมีพลัง ที่แฝงฝังยังชีวา
ทะยานสู่เมฆา สู่เวหาหาแขไข
มือสองประคองกอด มิให้ลอดหนีไปได้
ฟันหมับฉับน้ำไหล ขาดหรือไม่ไหลยิ่งเชี่ยว
หมองเศร้าเคล้าห่อเหี่ยว เหล้าจอกเดียวยิ่งหม่นหมอง
ยกมือถือจอกสอง นิ่งเฝ้ามองตรองตรองคิด
คนเราในโลกหล้า ต้องนำพาเรียกหาสิทธิ์
มิอาจใช้ชีวิต ตามที่คิดใครทนไหว
มิสู้รุ่งเช้าตรู่ พายเรือดูตามน้ำไป
ไปสู่ที่ไกลไกล มิมีใครไร้ผู้คน



หลี่ไป๋  
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 28/พ.ค./13 20:29น.
เคยได้ยินชื่อมหากวี"หลีไป่"มานานทีเดียว  จากภาพยนต์ จากหนังสือกำลังภายใน ท่านนี้เข้าใจว่าจะเป็นที่นิยมชมชื่น
ของชาวจีนเป็นอย่างมาก  จากกาพย์ยานีถ้อยรำพันกินใจเหลือที่จะกล่าว  บทกวีจีนนี่ลึกซึ้งเอามากๆ ขอบคุณท่าน
สหัสวรรษ ที่นำเอามมหากาพย์ของมหากวีชาวจีนมาฝากกัน ขอรับ.
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 28/พ.ค./13 20:33น.
     ยังมีนักกลอนสาวอีกหลายท่านที่จะกล่าวถึง  แต่ขอกลับมาหานักกลอนชายอีกท่านสอง
ท่าน  เพื่อนสมาชิกบ้านพักใจบางท่านร้องขอมาหลังไมค์  และประจวบกับท่าน"ลุงชัย"ผู้เป็นกัลยาณมิตร
ของห้องนี้ได้แจ้งว่าถนัดทางบทกลอนที่เกี่ยวกับธรรมชาติ  กระผมเคารพยกย่องนักกลอนที่เขียนกลอน
แนวธรรมชาติได้สละสลวยอยู่ท่านหนึ่ง   เป็นคนทางภาคใต้เช่นกัน

      ฉันเดินทางร้างถิ่นมาถึงนี่
   เพื่อจะเขียนบทกวีที่อ่อนหวาน
   เพื่อจะฟังดนตรีคีตกานท์
   เพลงสายธารเสรีมีน้ำริน

   มาชมภาพจิตรกรรมธรรมชาติ
   บรรจงวาดเขียนไว้ลวดลายศิลป์
   ทิ้งตำรามาเรียนเขียนแผ่นดิน
   มาดื่มกินจินตนาแห่งอารมณ์

   ผีเสื้อสาวชมสวนมวลดอกไม้
   แต้มสีให้โลกสวยช่วยผสม
   พิณคนธรรพ์บรรเลงเพลงลอยลม
   กล่อมพนมด้วยลำนำคำว่ารัก

   ฉันเดินทางร้างถิ่นมาถึงนี่
   เพื่อหลีกหนีฟันเฟืองคมเครื่องจักร์
   มาพบธารน้ำใสชื่นใจนัก
   ก้มลงวักน้ำวนอยู่คนเดียว

   ปีกเสรีมีฝันไร้พันธะ
   มีวิญญาณอิสระจะท่องเที่ยว
   เดินบุกป่าเสาะหารุ้งทุ่งกระเจียว
   กลางป่าเปลี่ยวแต่ปลอดภัยกว่าในเมือง

   มาพบมิตรสนิทหมายใจสมัคร
   มาพบรักปักแน่นแดนดอกเอื้อง
   มาหอมกลิ่นดินกรุ่นอุ่นประเทือง
   มาพบเรืองรุ้งพราวในราวไพร

   ฉันเดินทางร้างถิ่นมาถึงนี่
   เพื่อจะเขียนบทกวีที่อ่อนไหว
   เพื่อจะมานอนพักรักษาใจ
   หลับอยู่ในอ้อมแขนแดนมารดร.

   จากบทกวีชื่อ"พเนจร" ของ"เดือนแรม ประกายเรือง" ในหนังสือชื่อ"ลายปีกผีเสื้อ" พิมพ์
เมื่อ พ.ศ.2537 ท่านเดือนแรม  เขียนบทกลอนแนวธรรมชาติลื่นไหลหาตัวจับยาก  ใช้ภาษาอ่อนหวาน
เนื้อหานุ่มนวล  เป็นคนฝั่งอันดามันแถวๆพังงา  เขียนบทกวีรวมเล่มไว้หลายเล่ม แต่ละเล่มแพรวพราว
ด้วยฉันทลักษณ์แนวรักธรรมชาติ   เป็นคอลัมนิสต์ของนิตยสารหลายฉบับ 

   พิณวสันต์บรรเลงเพลงกล่อมโลก
   ละลายโศกลงสิ้นแผ่นดินหอม
   ดอกหญ้าแซมแย้มยิ้มพิมพะยอม
   ค่อยถนอมหน่อยนะก่อนจะโรย

   เสนาะล้ำน้ำไหลในพฤกษา
   รินหลั่งมาคลายร้อนอ่อนระโหย
   แหล่งพักใจไพรร่มมีลมโชย
   สายฝนโปรยประปรายพรายพร่างพราว

   แดดอ่อนแสงบนภูสูงรุ้งทอสาย
   เมฆระบายสายหมอกดอกไม้ขาว
   น้ำค้างเย็นยะเยือกเทือกภูยาว
   ดอกหญ้าหนาวอยู่ในไพรพนม

   เสน่หาป่าเขาเนาวพฤกษ์
   งามอยู่ในมโนนึกรู้สึกสม
   รักแผ่นดินหินผาธารารมย์
   รักสายลมแสงแดดสิ่งแวดล้อม

   คนหนึ่งเด็ดดอกหญ้ามาขยี้
   แต่หนึ่งมีมือน้อยคอยถนอม
   คนหนึ่งเด็ดดอกไม้ไปดมดอม
   แต่หนึ่งพร้อมป้องกันอันตราย

   ธรรมชาติปราถนาการถนอม
   สิ่งแวดล้อมกำลังพังสลาย
   เลิกใช้เล่ห์ลวงหลอกออกอุบาย
   หยุดทำลายเผ่าพันธ์กันเสียที.
   นี่ก็เป็นบทหนึ่งของงานเขียนแนวอนุรักษ์ธรรมชาติของ เดือนแรม ประกายเรือง
ชื่อ"หนึ่งมือน้อยคอยถนอม" ซึ่งความจริงแล้วมีอีกหลายๆบท   ลองหาอ่านกันดูเถิดขอรับ. 

หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 30/พ.ค./13 08:41น.
เมื่อคืนเปิดดูเว็บเจอข้อความที่แปลจากกลอนบทนำในนิยายอิงพงศาวดารเรื่องสามก๊ก  เลยเอามาดัดแปลงให้เป็นกลอนแปดให้ตรงกับความหมายในบทกวีภาษาจีน อันนี้อาจจะต้องให้เกร็ดเล็กน้อยสำหรับท่านที่ยังไม่รู้นะครับ ผู้แต่งพงศาวดารเรื่องสามก๊กนี้ชื่อว่าหลอกว้านจง เดิมแต่งพงศาวดารเรื่องนี้เพื่อให้แสดงเป็นบทงิ้วแสดงในโรง ซึ่งธรรมดาการเริ่มงิ้วจะมีบทกลอนนำกล่าวอารัมภบทเสมอ ถือเป็นการสรุปเนื้อหาใจความของเรื่อง อันหลอกว้านจงนี้เป็นขุนศึกผู้เปี่ยมวิทยายุทธ์ท่านหนึ่ง แต่เสียดายที่เกิดผิดเวลา เกิดหลังจากจูหยวนจาง ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงนำทัพขับไล่มองโกลแห่งราชวงศ์หหงวนไปร่วม50ปี เรียกว่าวีรบุรุษขาดสนามยุทธ์ในการแสดงฝีมือ จะทำไงให้มีชื่อปรากฏในประวัติศาสตร์ นิยายเรื่องสามก๊กเลยบังเกิดขึ้น

แยงซีรี่ไหลไปบูรพา
คลื่นซัดมาพาผู้กล้าลาลับหาย
แพ้ชนะจะคงที่ซักกี่ราย
ตะวันฉายทิวไม้อยู่คู่วันวาร

คนตัดฟืน เฒ่าหาปลาที่ผมขาว
ฤดูหนาวร้อนฝนคนเคยผ่าน
สุราขุ่นป้านใหญ่เข้าเล่าตำนาน
เก่า ๆ ใหม่ ๆ เสพสราญ ว่ากันไป ....  


http://www.tudou.com/v/mp5INfzARE8
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 30/พ.ค./13 11:43น.
อันพงศาวดารชุดสามก๊กนี้  ใครคนหนึ่งอาจนั่งอยู่ในวงสุราขุ่นป้านใหญ่กระมัง  ให้นิยามไว้ว่า "ใครอ่านสามก็กได้3 จบคบไม่ได้"  สำหรับกระผมดูเหมือนจะ 5 จบแล้วกระมัง
แต่เพื่อนฝูงก็ยังคบหาเฮฮาเสมอต้นเสมอปลาย  ถ้าจะว่าไปแล้วแค่หยิบมาแก้ง่วงสักหน้าสองมันก็จะติดพันเลยเถิดไปจนจบน่ะแหละ  วางไม่ลงจริงๆ(ฝีมิอแปลท่านเจ้าพระยา
พระคลังหน )  ในระยะหลังนี่ริมาดูที่เขาทำเป็นวิดิโอ ยังดูไม่จบเลย  สารภาพกันตรงๆขอรับ อ่านหนังสือสนุกกว่าเป็นไหนๆ พับเผื่อย...!!!
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 31/พ.ค./13 12:08น.
ตอนเช้าเข้าไปโหลดชุดสุดยอดเพลงจีนอมตะ โจวฮุ่ยหยง - ชุดที่ 1 ที่คุณแม็ท เมืองชล กรุณานำมาฝาก เจอเพลงที่16 ชื่อเพลงแปลเป็นไทยว่ารักกันฉันคือเธอ ซึ่งเป็นสำนวนจีนที่ชอบใช้กันในหนุ่มสาวที่รักใคร่กัน ฟังแล้วเพลงนี้ดัดแปลงมาจากโศลกประเภทฉือในราชวงศ์หงวน(ราวยุคสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช)ของจีนจริงด้วย เลยไปค้นหาจากบทกวีที่เก็บไว้ซึ่งเก็บตกมาจากการดูซีรี่ย์จีนเรื่องหนึ่ง เลยเอามาแปลเป็นกาพย์ยานี11 พร้อมประกอบบทเพลงให้ฟังพร้อมไปด้วย

เพื่อทราบที่มาที่ไปของโศลกบทนี้ จะเล่าให้ทราบเพียงคร่าวๆจากที่ค้นในเน็ต ผู้แต่งโศลกบทนี้เป็นผู้หญิงชื่อกว่านเต้าเซิง เป็นภรรยาของจินตกวี(นักวาด)ชื่อดังในสมัยนั้นชื่อจ้าวเมิ่งฝู่ จ้าวเมิ่งฝู่เกลอเห็นว่าอันปราชญ์ผู้มีความสามารถควรจะมี3ภรรยา4นางบำเรอเป็นอย่างต่ำ ไม่งั้นจะน้อยหน้าเพื่อนฝูงตกรุ่นไป เลยวางโครงการมีภรรยาน้อย ฝ่ายกว่านเต้าเซิงผู้ภรรยาก็เดือดร้อนซิครับ เลยเขียนโศลกบทนี้ไปยื่นอัลติเมตั้มให้ฝ่ายสามี สามีรับเข้าพลางอ่านพลางเหงื่อแตกไปพลาง ด้วยความละอายใจเลยยุติโครงการสวยหรูไว้เพียงแค่นี้


รักกันฉันคือเธอ
รักมั่นพอๆกัน ฉันรักเธอเหลือไรนั่น
ดุจไฟบรรลัยกัลป์ เผาผลาญไหม้ไปทุกที่
เอาดินมาหนึ่งกอง ปั้นเป็นน้องและเป็นพี่
ครั้นปั้นกันได้ที่ ปรี่เข้าทุบบุบสลาย
เอาน้ำมาละเลง เจ๋งจังนี่น้องพี่คลาย
เร่งปั้นอีกทีหมาย ให้น้องพี่นี่ระคน
ดินน้องมีพี่ปน พี่อีกคนก็ปนน้อง
อย่างนี้เรามิแยก แตกกันไปไร้คู่ครอง
แม้ตายเราสองต้อง ใส่โลงทองครองร่วมกัน


http://www.tudou.com/v/PexQV3v3mPY
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 31/พ.ค./13 19:25น.
ได้สดับทั้งกาพย์จากสีมือชั้นครู   ได้ซาบซึ้งกับเสียงเพลงเพราะทั้งเนื้อร้องและทำนอง  แถมพระนางที่แสดงหน้าตาดีเหลือเกิน
ขอบคุณท่านสหัสวรรษ สักห้าสิบกระบุงโกย  ขอรับกระผม
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 01/มิ.ย./13 11:26น.
ช่วงนี้อารมณ์สุนทรีย์มาแรง พอดีนั่งฟังนิยายจีนอยู่บ้าน มีอ้างถึงโศลกอมตะของหลี่ซังหยิ่น กวีเอกอีกท่านสมัยราชวงศ์ถัง(ประมาณพันกว่าปีที่แล้ว ราชวงศ์นี้ถือเป็นยุคทองของวงการกาพย์กลอนของจีน ท่านหลี่ไป๋ซึ่งถูกยกเป็นเซียนกลอนก็อยู่ในยุคเดียวกัน) โศลกบทนี้ถูกยกขึ้นมาเสมอในบทงิ้วหรือแม้แต่ละครยุคปัจจุบันของจีน ไหนๆก็ไหนๆ เลยจัดการแปลเป็นกาพย์ยานี11ของถนัด และพยายามรักษาความหมายและความรู้สึกของฉบับเดิมไว้ แปลกนะ โศลกบทนี้พูดเกี่ยวกับความรัก แต่ไม่มีคำว่ารักซักคำ

พบกันมันยากนัก ยามจากมักยากยิ่งหนัก
เอื่อยเอื่อยลมหยุดพัก บุบผชาติกลาดเกลื่อนโรยรา
ตัวไหมพ่นใยพัน จนมันตายวายชีวา
เทียนไขเป็นเถ้ากว่า น้ำตาไหลไหม้หมดสิ้น
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 01/มิ.ย./13 13:43น.
ความจริงกระผมเคยได้ยินอุปมาอุปมัย ของคำว่าไหมสำรอกใยจนตัวตาย  และเทียนส่องแสงให้ความอบอุ่นแก่ผู้อื่นแต่บั่นทอนทำลายตัวเอง
นี่เคยได้ยลยินมาไม่น้อยครั้ง  แต่หาทราบไม่ว่าต้นธารของคำเหล่านี้มาจากปรัชญ์เมธีชาวจีน  ขอบคุณท่านสหัสวรรษจริงๆขอรับ ช่วง
นี้กระผมซึมซับบทกวีจีนโบราณไว้เยอะ  ล้วนแต่ดีๆทั้งนั้น สาเหตุเพราะคบหากัลยาณมิตรเช่นท่านนี่แหละ
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: หนุ่มบางแค ที่ 02/มิ.ย./13 14:05น.
บทกลอนของท่านชบาบาน  ผมอ่านดูแล้ว  ไม่ธรรมดาเลย  น่าจะเป็นระดับกวีได้เลยครับ
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: สหัสวรรษ ที่ 02/มิ.ย./13 16:17น.
ท่านชบาบานเอากทกลอนธรรมชาติมาฝากเยอะๆก็ดีครับ ผมไม่ค่อยถนัดพวกนี้ เรียกว่าถ้าเปรียบเป็นหนัง ผมก็ถนัดดูหนังประเภทAction อย่างหนังDrama แบบธรรมชาติๆถ้ามากระแทกตาก็จะสนใจดู แต่ไม่ถึงกับไปเสาะหา
ผมอยากจะนำโคลงประเภทฉือของซินจี๋ชี่ กวีสมัยราชวงศ์ซ้อง(สมัยเปาบุ้นจิ้น)มาให้อ่านกัน เป็นบทกวีอมตะที่นักเรียนจีนเขาเรียนกัน อันผู้แต่งบทกวีนี้ตามประวัติเป็นกวีประเภทปลุกใจรักชาติ และมีอิทธิพลต่อสังคมมากในสมัยนั้น ในบทกวีจะพูดถึงกระบี่ ตอนแรกจะแปลว่าดาบแล้ว แต่เคยดูการวิเคราะห์ความหมายของกระบี่แล้วเลยเปลี่ยนใจ อันกระบี่นี้ถือเป็นอาวุธและสัญลักษณ์การทหารและการปกครองที่สำคัญของจีนตั้งแต่สมัยโบราณ กระบี่ต่างกับดาบตรงที่กระบี่จะต้องตรง ปลายแหลม ความตรงของกระบี่เป็นสัญญลักณ์ของความถูกต้อง คุณธรรม และปลายแหลมและคมคือความเด็ดขาด ฉะนั้นในสมัยโบราณทุกคนที่มีฐานะจะต้องสะพายกระบี่เพื่อแสดงถึงคุณธรรมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุ๋นหรือบู๊ อย่างพวกปราชญ์โบราณอย่างเช่นกวีหลี่ไป๋ยังสะพายกระบี่เลย ส่วนการนำทัพก็เช่นกัน การจะนำทัพไปสู้ศึกหรืออะไรก็แล้วแต่จะต้องมีการอ้างเพื่อคุณธรรม ไม่งั้นคนจะไม่ยอมรับ ในภาษาจีนเรียกว่าการยกทัพที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม สุภาษิตเรียกว่าชื่อไม่ถูกหลักธรรม คำสั่งใดก็ไม่ได้ผล มาดูบทกวีดีกว่า


รำพึงนายทัพ(เฒ่า)
เมาได้ที่หรี่ตะเกียงเพียงให้แสง
สว่างแรงพอลูบชมคมกระบี่
ตื่นตอนเช้าเสียงแตรเป่ากลองเร้าตี
ปลุกน้องพี่ที่งัวเงียอย่าเสียงาน
โคย่างพลางแบ่งพลไพร่ไปตบท้อง
เสียงฆ้องกลองปลุกเร้าใจไพร่ทหาร
เสียงเพลงพิณยินไปสู่ผู้รุกราน
เหล่าทหารเข้าตามหมวดให้ตรวจทัพ
อาชาไวดุจปรอทปลอดไปหน้า
ทหารกล้าบุกฝ่าไปไม่หันกลับ
ฝูงธนูแลดูเสียวเฟี้ยวฟับฟับ
ฟังคล้ายกับอสนีที่ฟาดฟ้า
เจ้าชีวิตที่คิดทำสำเร็จแล้ว
ด้วยความแน่วแน่ใจไม่กังขา
ทหารฝ่าความตายได้ไม่รอรา
สงสารแต่ข้าผมเผ้าขาวแล้วเอย
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 03/มิ.ย./13 10:58น.
ได้ความรู้เพิ่มขึ้นถึงข้อแตกต่างระหว่างกระบี่และดาบ  รวมทั้งความหมายของศาสตราวุธในเชิงปรัชญา  แนวคิดของคนจีน
โบราณนี่ช่างลึกซึ้งคมคายจริงๆ ขอบคุณท่านสหัสวรรษขอรับ  และพนมมือคารวะขอบคุณท่านรองฯ(หนุ่มบางแค) ที่กรุณาเข้ามาให้
กำลังใจกัน เช่นกันขอรับ   
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 14/มิ.ย./13 08:23น.
   องค์การศึกษาและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) เป็น
องค์กรที่เผยแพร่ส่งเสริมวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกต่างๆทั่วโลก  ทำหน้าที่
ยกย่องเชิดชูเกียรติ์และเผยแพร่ผลงานของบุคคล  ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม
ระดับโลก  ให้ปรากฎแก่เหล่าสมาชิกทั่วโลกตลอดมา
   ในการนี้ยูเนสโกได้ยกย่องเชิดชูเกียรติ์ให้แก่บรมครูด้านวรรณกรรม
ของประเทศไทยคือท่าน"สุนทรภู่" มาตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2529 ท่านรองนายก
รัฐมนตรีในสมัยนั้น(ท่านเศวต เปี่ยมพงศ์สานต์)จึงได้จัดตั้งสถาบันสุนทรภู่เพื่อสนับ
สนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตและงานของท่านครูภู่ จึงเป็นที่มาของวันสุนทรภู่ตั้ง
แต่บัดนั้นเป็นต้นมา
   ท่านครูภู่ เป็นครูเป็นต้นแบบ ของเราเหล่าผู้รักวรรณกรรมตลอดมา เป็น
ผู้รังสรรค์วรรณกรรมดีๆไว้มากมาย เช่น
   นิราศ ประมาณ    9    เรื่อง
   นิทานคำกลอนหลายเรื่อง เช่น พระอภัยมณี,โคบุตรฯ
   ปกิณกะสุภาษิตสอนคน เช่น สุภาษิตสอนหญิง,เพลงยาวถวายโอวาทฯ
   ในแต่ละเรื่อง จะสอดแทรกประเพณีวัฒนธรรมอันเป็นของโบราณไว้มาก
มายจนกลายเป็น"วรรคทอง"ฝากไว้ในบรรณพิภพจนเท่าทุกวันนี้
   ในโอกาศวันสุนทรภู่ที่จะถึงในไม่กี่วันนี้  กระผมใคร่ขอกราบเรียนเชิญท่าน
ผู้มีใจรักในวรรณกรรม  ช่วยกันรำลึกถึงท่านท่านครูภู่ด้วยข้อเขียน,รูปภาพหรือบทกลอน
จะลงตรงนี้ หรือเปิดกระทู้ใหม่ก็ได้  เพื่อรำลึกถึงครูภู่ เพื่อจรรโลงวรรณกรรมไว้ให้ลูกหลาน
สืบไป ขอเชื้อเชิญ ขอรับกระผม.
   
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: เวียงสา980 ที่ 14/มิ.ย./13 08:49น.
อ่านยังไม่จบ ค่ะ เอาไว้ถ้าว่าง จะมาอ่านต่อ นะคะ เยอะมาก เลย
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ทวีป โคราช ที่ 26/มิ.ย./13 08:07น.
นักฟังเพลงส่วนใหญ่ก็จะชอบคำประพันธ์้ด้วย เพราะเป็นของคู่กัน เพลงสมัยเก่าก็เป็นการแต่งร้อยกรอง ทำให้มีความไพเราะ คล้องจอง จำได้ขึ้นใจ  เพลงวัยรุ่นสมัยนี้ผมฟังแล้วปวดหัวครับ แต่งแบบร้อยแก้ว ไม่มีสัมผัส ในโรงเรียนสมัยก่อนก็ให้มีการท่องบทอาขยาน ทำให้ฝังใจมาจนถึงปัจจุบัน แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 50 ปี ยังจำบทอาขยานนั้นได้ แต่จะหลงลืมบ้าง  ผมจำได้ว่าตอนอยู่ ป.3 (ปี 2508) เคยท่องอาขยานบทนี้ครับ  เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน  เหมือนอย่างนางเชิญ  พระแสงสำอางข้างเคียง  เขาสูงฝูงหงส์ลงเรียง  เริงร้องซ้องเสียง  สำเนียงน่าฟังวังเวง  กลางไพรไก่ขันบรรเลง  ฟังเสียงเพียงเพลง  ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง....
     ผมประทับใจและจดจำบทประพันธ์นี้ได้ขึ้นใจ และชื่นชอบในบทประพันธ์ประเภทร้อยกรอง  ผมว่ามันเป็นความงดงามทางภาษาที่ควรจะมีอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 26/มิ.ย./13 22:06น.
ท่านทวีป ดูจะเข้าใจในความเจ้าบทเจ้ากลอนของคนไทย  คอเพลงบ้านพักใจถ้าเป้นคนรุ่นเก่า  ชอบเพลงที่มีสำผัสคล้องจอง
ถ้อยคำสละสลวย  เพลงเก่าโดยนักแต่งเพลงเก่าๆจึงมีลมหายใจติดต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ส่วนที่ท่านเอ่ยถึงเพลงวัยรุ่น
สมัยนี้  ความรู้สึกของกระผมก็คล้ายๆความรู้สึกท่านแหละขอรับ มันมักจะเป็นร้อยแก้วแล้วใส่ทำนองเป็นเมโลตี้เข้าไป ให้ชิ้น
ดนตรีดังๆ  ก็ได้กรี๊ดได้ฮือฮากันแล้ว  แต่พวกเขาก็สนุกสนานกัน  ปล่อยพวกเขาเถอะขอรับ นี่มันยุคของ K-POP,J-POP
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ตู่ ลำพูน ที่ 04/ก.ค./13 20:41น.
เข้ามาอ่านบทกลอนของแต่ละท่านไม่เบาเลย...ข้าน้อยต้องขอฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอาจารย์.. :'e:92
หัวข้อ: Re: กวีวรรค
เริ่มหัวข้อโดย: ชบาบาน ที่ 05/ก.ค./13 07:07น.
แหม..!! ท่านตู่ก็กล่าวเกินไป  ไม่มีใครถึงขั้นเป็นอาจารย์หรอกขอรับ  คนกันเองเพื่อนพ้องกันอยู่ในวงการ ก็สนุกสนานตามประสา ใครถนัด
ทางไหนก็ไปทางนั้น  ขอบคุณท่านตู่เป็นอย่างยิ่งแวะเวียนเข้าพูดคุย ตามประสากัลยาณมิตรกันหลายครั้งแล้ว ห้องกลอนเปิดกว้างตลอด
มาคุยกันบ่อยๆนะขอรับ