สัพเพเหระ > รูปภาพสวยๆ แปลกๆ เอามาโชว์ครับ
ภาพจิตรกรรม ฝีมือ เลโอนาโด ดา วินชี
ทนาย:
ชื่อภาพ : Last supper
จิตรกร : Leonardo da Vinci
ปี : 1494-1498
ผลงานจิตรกรรมของเลโอนาร์โดชิ้นสำคัญในระยะเวลาต่อมาขณะทำงานกับดยุคแห่งมิลาน เขาได้วาด ภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเลื่องลือไว้ที่ผนังโบสถ์วัดซานตา มารีอา เดลเล กราซี ในเมืองมิลานเมื่อปี ค.ศ. 1495 ภาพนี้มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักกันว่า “อาหารเย็นมื้อสุดท้าย” โดยนำเอาเรื่องราวจากเหตุการณ์สำคัญ ในคริสต์ประวัติ แสดงถึงพระเยซูกับเหล่าสาวกสิบสองคนกำลังรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ก่อนที่ พระองค์จะถูกทหารโรมันจับกุมตัวไปลงโทษตรึงกางเขน เลโอนาร์โอจัดวางองค์ประกอบของภาพ อย่างง่ายบริสุทธิ์ มีโต๊ะอาหารยาววางขวางขนานเต็มภาพ พระเยซูประทับนั่งอยู่กลาง แวดล้อมด้วย เหล่าสาวก เลโอนาร์โดได้สร้างให้พระเยซูมีพระพักตร์สงบเงียบฉายแววแห่งความเมตตา พระหัตถ์ทั้งสอง ข้างวางแบอยู่บนโต๊ะอาหาร ทำให้บังเกิดเส้นรอบนอกของพระเยซูคล้ายกับอยู่ภายในกรอบสามเหลี่ยม ปิรามิด ช่วยเน้นให้ภาพดูมีอารมณ์นิ่งแน่วแน่และมั่นคง เบื้องหลังของพระองค์เป็นหน้าต่างสามช่อง เปิดรับแสงสว่างเต็มที่ ข่มร่างของพระองค์ให้ดูพร่าสลัว เสมือนอยู่ในบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่านั้น แสงสว่างจากหน้าต่างยังทำหน้าที่คล้ายกับแสงศริประภาอีกด้วย ในคริสตประวัติได้กล่าวว่า พระเยซู ทรงรู้แจ้งถึงประพฤติกรรมของสาวกผู้นำความลับไปแจ้งให้ทหารโรมันมาจับ พระองค์ไป ดังนั้นจึงตรัสว่า “....แน่นอน ฉันอยากจะบอกแก่พวกท่านทั้งหลายว่า คนใดคนหนึ่งในหมู่ท่านนี้แหละจะทรยศต่อฉัน....” เลโอนาร์โดได้จัดภาพเหล่าสาวกให้เข้ากับบรรยากาศอันตรึงเครียดนี้ โดยให้แต่ละคนแสดงอากัปกิริยา เคลื่อนไหว มีการจับกลุ่มหันหน้าปรึกษาหารือกันทั้งหมด 4 กลุ่มด้วยกัน แต่ละคนแสดงท่าทางแตกต่าง ไม่ซ้ำแบบกัน แต่ก็แลดูประสานหมุนเวียนประสานสัมพันธ์เป็นเรื่องราวที่เป็นเอกภาพเดียวกัน ทั้งหมด บนใบหน้าของสาวกต่างละองค์แสดงอารมณ์รู้สึกนานาประการ มีที่ทั้งตื่นตระหนก สงสัย หรือแวว อันโกรธแค้น ดังเช่น สีหน้าของเซนต์ปีเตอร์เต็มไปด้วยความขึ้งโกรธ ส่วนเซนต์จอห์น แฝงแววความเมตตา และจูดาห์สาวกทรยศแสดงท่าทีของคนเจ้าเล่ห์ผู้วางมาดเมินเฉย ทำท่าเป็นทองไม่รู้ร้อน หันหน้ามองไปทาง พระเยซู ยกศอกขวาค้ำบนโต๊ะอาหารในมือกุมถุงเงิน ส่วนมือซ้ายยื่นไปทางพระเยซู แสดงท่าคล้ายกับยืนยัน ความบริสุทธ์ของตน ก่อนจะลงมือวาดภาพนี้ลงบนผนัง เลโอนาร์โดได้ใช้เวลาทุ่มเทศึกษาท่าทาง การแสดงออกของสาวกแต่ละคนมาอย่างดี อีกทั้งยังค้นคว้าตีความในพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วน เขาต้อง ตระเตรียมและร่างรูปสาวกแต่ละคนอย่างละเอียด ให้ได้ความงามทางศิลปะกับความจริงตามพระคัมภีร์ เขาได้บันทึกไว้ว่า “จิตรกรที่ดีมีเรื่องใหญ่สองเรื่องที่ต้องคำนึง คือ เรื่องของมนุษย์และความปรารถนา ภายในวิญญาณของจิตรกรเอง เรื่องแรกนั้นเป็นของง่าย แต่ เรื่องหลังเป็นของยาก เพราะมันต้องแสดง ออกทั้งทางอารมณ์และความช่ำชองของฝีมือ...งานจิตรกรรมที่ดีจะต้องไม่เพียง ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่คนดู เท่านั้น หากแต่จำต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดนั้นไม่ใช่แค่ปรากฏให้เห็นอยู่เพียงบนกำแพง เท่านั้น...”
เนื่องจากเลโอนาร์โดมีอุปนิสัยชอบค้นคิดวิทยาการใหม่ๆ และนำมาทดลองอยู่เสมอ ภาพ “อาหาร เย็นมื้อสุดท้าย” แทนที่จะใช้กรรมวิธีวาดระบายสีตามแบบวิธีเฟรสโก้เหมือนดังเช่นจิตรกร อื่นๆ นิยมกัน เพราะกรรมวิธีนี้ได้ผ่านการพิสูจน์มาเป็นอย่างดี จากผลงานในอดีตว่า มีผลงานคงทนถาวรเป็นเลิศ ถึงกระนั้นโลโอนาร์โดยังไม่พึงพอใจ เขาพยายามคิดวิธีการ และนำวัสดุใหม่ๆ เข้าใช้ผสมในการสร้างงานด้วย จึงเป็นที่น่าเสียดาย คงจะมีความ ผิดพลาดบางประการ ผนังที่ใช้วาดได้แตกปริร้าวกะเทาะ มีบางส่วนถึงกับร่อนหลุดไป ภาพได้เริ่มเสียหายตั้งแต่เมื่อครั้งเลโอนาร์โดยังมีชีวิตอยู่เสียด้วยซ้ำไป จากนั้นจึงค่อย ชำรุดอยู่ตลอดมา แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการพยายามซ่อมแซมบำรุงรักษาผลงาน อันล้ำค่านี้ตลอดเวลา อนึ่งเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ระหว่างเกิดสงครามโลก ครั้งที่สอง โบสถ์แห่งนี้ได้ถูกระเบิดทำให้ผนังกำแพงด้านหนึ่งพังพินาศ โชคยังดี กำแพงที่พังด้านนั้น มิใช่เป็นด้านที่มีภาพ “The Last Supper”
ทนาย:
Madonna of the Yarnwinder
พระแม่มารีกับไม้ปั่นด้าย (Madonna of the Yarnwinder) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชีจิตรกรสมัยเรอเนซองส์คนสำคัญชาวอิตาลี ที่เป็นงานสะสมส่วนบุคคล
“พระ แม่มารีกับไม้ปั่นด้าย” ราว ค.ศ. 1501 เป็นหัวเรื่องของภาพสีน้ำมันหลายภาพ ที่เขียนหลังจากที่ภาพเขียนต้นฉบับสูญหายไป เป็นภาพของพระแม่มารีและพระบุตร ที่ต่างมองไม้ปั่นด้ายที่พระแม่มารีใช้ด้วยความละห้อย
ไม้ปั่นด้าย เป็นทั้งสัญลักษณ์ของความอยู่กับเรือน และสัตยกางเขน (True Cross) ที่พระเยซูจะทรงถูกตรึงต่อมา หรืออาจจะเป็นนัยถึงชะตาซึ่งในตำนานสมัยโบราณ ใช้ไม้ปั่นด้ายเป็นสัญลักษณ์
ภาพนี้มีด้วยกันอย่างน้อยสามภาพที่ เป็นของส่วนบุคคล สองภาพอยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งภาพหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ “พระแม่มารีแลนด์สดาวน์” (The Landsdowne Madonna)
ภาพเขียนต้นฉบับอาจจะเป็นงานที่จ้างโดยฟลอริมุนด์ โรแบร์เตท์องคมนตรีต่างประเทศในพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส
ฉบับบุคคล็อยช์
ภาพ ที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นงานของดา วินชิมากที่สุดเป็นของริชาร์ด สกอตต์ ดยุคแห่งบุคคล็อยช์ที่ 10 (Richard Scott, 10th Duke of Buccleuch) ที่แขวนอยู่ที่ปราสาทดรัมแลนริก (Drumlanrig Castle) ที่ดัมฟรีย์สและกาลลาเวย์ในสกอตแลนด์ จนกระทั่งถูกขโมย
ใน ปี ค.ศ. 2003 ภาพเขียนถูกขโมยโดยโจรสองคน ที่ทำตัวกลืนกับนักท่องเที่ยว แต่ก็ได้คืนมาหลังจากตำรวจเข้าบุกค้นสำนักงานทนายความในกลาสโกว์ในเดือน ตุลาคม ค.ศ. 2007
ซึ่งทางสำนักงานทนายความกล่าวว่า ไม่มีอะไรที่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายนอกไปจากคำอธิบายที่ไม่น่าตื่นเต้น อะไร มีผู้ถูกจับสี่คนรวมทั้งทนายสองคน จากสองสำนักงานซึ่งกล่าวว่า เป็นแต่เพียงตัวแทนตรวจดูสัญญาระหว่างลูกค้าสองฝ่ายเท่านั้น
ทนาย:
The Battle of Anghiari
ค.ศ. 1500 ระหว่างนี้เป็นระยะที่ไมเคิลแอนเจโล ศิลปินรุ่นน้องกำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง แม้ว่าเลโอนาร์โดจะมีอายุแก่กว่าไมเคิลแอนเจโลถึง 23 ปี แต่บุคคลทั้งสองต่างชอบตีฝีปากคอยกระแหนะกระแหนซึ่งกันและกันอยู่เสมอ ต่างฝ่าย ต่างคิดว่าตนเองมีความสามารถเหนือกว่า ด้วยเหตุนี้ในปี ค.ศ. 1503 ทางคณะ กรรมการบริหารเมืองฟลอเรนซ์ จึงได้จัดให้บุคคลทั้งคู่วาดภาพตกแต่งหอประชุม ในพาลาสโซ เวคคิโอ เคียงกัน โดยกำหนดให้ทั้งสองวาดภาพในเรื่องราวที่เกี่ยวกับ สงครามคล้ายกัน เลโอนาร์โดเลือกเอาเรื่องราว “การรบที่แอนกิอารี่” อันเป็นสงคราม ที่กองทัพฟลอเรนซ์มีชัยชนะเหนือกองทัพของปิซ่า อย่างไรก็ตาม ศิลปินเอกทั้งสอง ต่างวาดไม่เสร็จเหลืองานทิ้งไว้ และเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง เมื่อวาซารี่ได้ทำการ ซ่อมแซม สถานที่แห่งนี้ในปี ค.ศ. 1565 เขาได้ลบทำลายภาพทั้งสอง ในปัจจุบันจึงเหลือแต่เพียงคำเล่าลือกับภาพร่างกระดาษเป็นหลักฐาน
จากภาพร่างที่หลงเหลืออยู่ มีเหตุผลเชื่อถือได้ว่าเลโอนาร์โดได้รับอิทธิพลมาจากผลงาน ประติมากรรมภาพแบนหล่อด้วยโลหะสำริดจากฝีมือของ เบอร์ทอลโด ดิ โจวานนี่ ซึ่งปัจจุบันประติมากรรมชิ้นนี้เก็บรักษาไว้ที่ในบาร์เกลโล เมืองฟลอเรนซ์ เลโอนาร์โด นำเอามาใช้ทั้งด้านการจัดวางองค์ประกอบและท่าทางอันห้าวหาญของนักรบ แต่ได้ดัด แปลงแก้ไขจนมีความงามสง่าน่าพิศวง เซอร์เคนเนธ คลาค ได้เขียนบันทึกไว้ว่า “ภาพร่างผลงานเกี่ยวกับสงครามทั้งของไมเคิลแอนเจโล และเลโอนาร์โด ต่าง เป็นจุด หักเหของศิลปกรรมสมัยเรอนาซอง มันไม่ใช่การกล่าวอย่างไร้เหตุผลจนเกินไปผลงาน ทั้งสองชิ้นต่างมีแนวความคิดริเริ่มสองรูปแบบ ซึ่งศิลปกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาสองรูปนี้ คือ บาโรค กับ คลาสสิค
ทนาย:
Mona Lisa [1503 - 1506]
ในปีเดียว กับที่กำลังวาดภาพประดับผาผนังในพาลาสโซ เวคดิโออยู่นั้น เลโอนาร์โดก็ได้ ลงมือวาดภาพของหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ “โมนา ลิซ่า” กล่าวเล่ากันว่า นางแบบมีชื่อจริงว่า “ ลา จิโอคอนดา” เธอเป็นสาวชาวเนเปิล เป็นภริยาของนายธนาคาร ซาโนบี เดล จิโอคอนโด ผู้มั่งคั่ง เลโอนาร์โดวาดภาพสาวงามผู้นี้ครึ่งตัว เห็นใบหน้าเกือบตรงลำตัวบิดเอี้ยวเล็กน้อย มือซ้ายวางอยู่บนที่วางแขนของเก้าอี้ มือด้านขวายกขึ้นมาเกาะกุมมือซ้ายอย่างละมุนละไม เบื้องหลังของโมนา ลิซ่าเป็นทิวทัศน์อันสงบเงียบ มีบรรยากาศเร้นลับและให้อารมณ์ ชวนฝัน มองดูคล้ายกับการจำลองทิวทัศน์ทางแบบภาคเหนือ ของมิลานถิ่นเก่าที่เขา เคยพำนักอยู่นาน เลโอนาร์โดได้ถ่ายทอดและสอดใส่อารมณ์ลงในภาพของหญิงสาว ผู้มีใบหน้าอันงดงามหลายลักษณะ มีทั้งหม่นหมอง เศร้าซึม สงบเสงี่ยม ท้าทาย ร้อนแรง และดูมีความหลังอันสะเทือนใจได้อย่างถึงแก่นแท้ จิตกรได้สร้างรอยยิ้มอันอมตะ เนรมิตดวงตาอันชวนลุ่มหลงไว้ด้วยความสามารถสร้างจินนาการให้ทิวทัศน์คล้าย ดังในฝัน ให้ขุนเขาและแมกไม้ค่อยเลือนรางหายไปในบรรยากาศอันปกคลุมด้วยเมฆหมอก วิธีการวาดทิวทัศน์ในลักษณะนี้ เป็นกรรมวิธีส่วนตัวของเลโอนาร์โดที่คิดค้นขึ้น มีชื่อ เรียกเฉพาะว่า “สฟูมาโต” (Sfumato) นับเป็นการแสดงออกอันก้าวหน้ากว่าการวาด แบบเดิม สามารถช่วยแก้ปัญหาเรื่องมิติใกล้ไกล สร้างบรรยากาศได้ใกล้เคียงกับ ที่เป็นอยู่ในธรรมชาติ และช่วยกระตุ้นอารมณ์จินตนาการแก่ผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว
ภูฤดู ปักซัว:
ละเอียด ละเมียดละไม น่าชมมากครับ
หลายภาพคุ้นตากันอยู่บ้าง
แต่ภาพที่คุ้นตากันมากที่สุด คงไม่พ้นภาพ โมนา ลิซ่า
:'e:92 :'e:94
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version