สัพเพเหระ > แวดวงนักร้องนักดนตรี

ประวัติความเป็นมาของเพลงลูกทุ่ง

<< < (2/7) > >>

chin khalang:
เครื่องดนตรี
ในช่วงแรกของ เพลงลูกทุ่ง จะมีลักษณะเป็นเพลงไทยเดิมและเพลงพื้นเมืองอยู่มาก ขุนวิจิตรมาตรา กล่าวว่า ?วงดนตรีเพลงลูกทุ่งในช่วงนั้นตั้งเป็นวงดนตรีแบบสากล แต่คงปรากฏการใช้เครื่องดนตรีที่บรรเลงเพลงไทยเดิม และเพลงพื้นเมือง ประกอบในบางเพลงอยู่?
มีการใช้เครื่องดนตรีไทยประกอบเพลงลูกทุ่ง บรรเลงรับเมื่อร้องจบแต่ละท่อนเป็นช่วงสั้น ๆ เครื่องดนตรีที่ใช้ได้แก่ ระนาด ฉิ่ง โพน กลอง ฯลฯ เป็นต้น เช่น ในเพลงหอมหน่อย ฉิมพลี ดาวลูกไก่ ฯลฯ
ยังมีการนำเครื่องดนตรีพื้นเมืองของภาคต่าง ๆ มาบรรเลงประกอบกับเครื่องดนตรีสากล ในเพลงลูกทุ่ง เช่นเครื่องดนตรีพื้นเมืองของภาคอีสานที่นำมาใช้ได้แก่ แคนโปงลางของภาคเหนือ ได้แก่ ซึง ซอ พิณของภาคใต้ ได้แก่ กลอง โหม่ง ส่วนของภาคกลางมีกลองยาว ระนาด ฉิ่ง กรับ โทน เป็นต้น เพลงลูกทุ่งที่ใช้เครื่องดนตรีพื้นเมืองมาประกอบ เช่น เพลงลำเลาะทุ่ง เพลงเสียงซอสั่งสาว เพลงต้อนไว้ ๆ เป็นต้น
และยังมีการใช้เครื่อง ดนตรีสากลหรือเครื่องดนตรีตะวันตก ประกอบด้วยเครื่องเป่า เครื่องสาย และเครื่องประกอบจังหวะ รวมแล้วประมาณ 12?18 ชิ้น วงดนตรีของสุรพล สมบัติเจริญ และของสุรฃัย สมบัติเจริญ มีจุดเด่นที่ใช้แอคคอร์เดียนหรือ***บเพลง อย่างไรก็ตามวงดนตรีเพลงลูกทุ่งอื่น ๆ ก็มีการใช้เครื่องดนตรีสากลบ้าง
                                                                    หางเครื่อง
ที่ มาของคำว่าหางเครื่อง คาดว่ามาจากสำนวนคำว่า ?เขย่าหางเครื่อง? ในขณะที่นักร้องออกมาร้องเพลงบนเวที คนที่ให้เสียงจังหวะเรียกว่า หางเครื่อง คือจะมีคนออกมาตีฉิ่ง ฉาบ กรับ ไม้ต๊อก และเคาะลูกแซ๊กอยู่ข้างหลังนักร้องเพื่อให้จังหวะเพลงให้เด่นชัดขึ้นและสนุก สนานมากขึ้น แต่ความหมายดังกล่าวได้เปลี่ยนไปมีความหมายว่า คนเต้นประกอบเพลงในปัจจุบัน
ในช่วงแรก ผู้เขย่าหางเครื่องก็มีทั้งหญิงและชาย ไม่ได้เป็นกลุ่มคณะ บางครั้งก็เป็นตัวตลกประจำวง บางครั้งก็เป็นนักร้องประจำวง ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นโดยมีผู้หญิงสวย ๆ ออกมาเขย่าหางเครื่อง แต่ก็ยังไม่ออกลีลาการเต้น เพียงเดินให้เข้ากับจังหวะเพลงเท่านั้น เพลงส่วนใหญ่ที่ใช้หางเครื่องจะมีจังหวะบีกิน ช่าช่าช่า โบเล หลังจากนั้นได้ใส่ลีลาการเต้นและการแต่งกายมากขึ้น โดยพัฒนามาจากการเต้นระบำฝรั่งเศสของฟอลลี่ แบร์แช (Folies Bergeres) และการเต้นโมเดิร์นด๊านซ์ (Modern Dance) จนในปี พ.ศ. 2509 หางเครื่องแต่งตัวเหมือนกันเป็นทีม อย่างเช่นวงของสุรพล สมบัติเจริญ สมานมิตร เกิดกำแพง และหลังจากที่สุรพล เสียชีวิตลง ศรีนวล สมบัติเจริญ ภรรยาสุรพลได้จัดหากเครื่องใช้ผู้เต้นประมาณ 10 คน ลีลาการเต้นก็เป็นแบบระบำฮาวายของตะวันตก จนปี 2510 หางเครื่องเริ่มเปลี่ยนแปลงชัดเจนกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ของวง ดนตรีลูกทุ่ง
นับตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2517 ในช่วงนี้คำนี้ ?หางเครื่อง? แปรเปลี่ยนมาเป็นบุคคลที่เต้นประกอบเพลงและจำนวนผู้เต้นก็มีมากขึ้น และเมื่อเข้าสู่ปีทองอีกช่วงในปี 2520 มีการแข่งขันด้านหางเครื่องจึงเพิ่มขึ้น วงดนตรีใหญ่ ๆ มีหางเครื่องในสังกัดตัวเองประมาณ 60 คน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในเรื่องเครื่องแต่งกายหางเครื่องสูงถึง 1 ล้านบาท
ลักษณะ การแต่งกายของหางเครื่องมักแต่งกายด้วยผ้าสีสด เช่น สีแดงสด ฟ้า เขียว ชมพูสด เหลืองจำปา สีทอง สีดำ เนื้อผ้ามักเป็นผ้าเนื้อนุ่มพลิ้ว ปักเลื่อม ประดับสายสร้อย กำไล ตุ้มหู และดอกไม้ ส่วนผู้ชายมักสวมรองเท้าบู๊ต
หาง เครื่องที่เป็นการนำมาจากวัฒนธรรมตะวันตกซึ่งไม่น่าจะเข้ากันได้กับการแสดง เพลงลูกทุ่ง แต่ในแง่ธุรกิจผู้ที่อยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งต่างยอมรับว่าหางเครื่องเป็น สิ่งที่ขาดไม่ได้ ผู้ชมชื่นชอบกับการชมหางเครื่องประกอบการแสดงเพลงลูกทุ่ง หางเครื่องในปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เพลงลูกทุ่งต่างจากลูกกรุง ผู้ชมก็ตื่นตาตื่นใจกับเสื้อผ้าและลีลาการเต้นของหางเครื่อง

chin khalang:
ธุรกิจเพลงลูกทุ่ง
นับ ตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกเสียงลงแผ่นเสียง เพลงลูกทุ่งครองตลาดเพลง ในปี พ.ศ. 2510 เนื่องจากมีการบันทึกลงเทปแทนแผ่นเสียง และโทรทัศน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น และต่อมาเพลงลูกทุ่งเริ่มเงียบหายลงไปเพราะการเมือง จนมาโด่งดังอีกครั้งในปี 2520 และหายไปอีกครั้งเพราะผลจากเศรษฐกิจ และในปี 2541 ธุรกิจในวงการลูกทุ่งก็กลับมาอีกครั้งกับนักร้องใหม่ๆ ธุรกิจแบบใหม่ ๆ
ในปัจจุบัน ธุรกิจลูกทุ่งมีฐานที่กว้างมากในตลาดวงการเพลง เป็นตลาดใหญ่ มีทั้งค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ เป็นจำนวนมาก การแข่งขันก็มากขึ้นเรื่อยๆ โดยสัดส่วนของเงินในตลาดเพลงลูกทุ่งครอง คาดการณ์น่าจะอยู่ที่ ปีละ 1,000-1,500 ล้านบาท เฉพาะธุรกิจเพลงอย่างเดียวไม่รวมกับธุรกิจข้างเคียงอื่นๆ โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ภาคอีสาน 50% ภาคเหนือและภาคกลาง 35% และภาคใต้ 15% และสัดส่วนการแบ่งตลาด มีแกรมมี่ โกลด์ ครองส่วนแบ่งการตลาดเพลงลูกทุ่งทั่วประเทศ 65% ส่วนอาร์สยาม 19% และอื่นๆ 16% สำหรับตลาดรวมของธุรกิจในปี 2549 มูลค่าตลาดประมาณ 7,100 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9 จากปี 2548 และหากเปรียบเทียบกับตลาดเพลงอื่นแล้ว เพลงไทยสากลเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาด มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 45 รองลงมาคือเพลงลูกทุ่ง ร้อยละ 30 และเพลงสากล ร้อยละ 20
ใน ปัจจุบันมีศิลปินลูกทุ่งต่างออกผลงานเพลงเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการแข่งขันสูง บางศิลปินออกได้ชุดเดียวก็ไปเลย บางคนสองชุด บางคน 5-6 ปี และยังมีปัญหา ความตกต่ำของเศรษฐกิจ เทปผี ซีดีเถื่อนอีก จึงมีบางค่ายเพลงหันมาโปรโมตศิลปินแทนโปรโมตเพลง
                                                      สื่อวิทยุ โทรทัศน์ และภาพยนตร์
ด้าน สื่อวิทยุ เดิมทีเพลงลูกทุ่งออกอากาศโดยคลื่นเอเอ็ม เพราะสามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลมาก จนในปี 2540 ได้เกิดสถานีวิทยุเอฟเอ็มขึ้นคือสถานีลูกทุ่งเอฟเอ็ม แนวความคิดในการจัดรายการวิทยุเพลงลูกทุ่งจึงเริ่มเปลี่ยนไป ลูกทุ่งเอฟเอ็มเป็นสถานีวิทยุเพลงลูกทุ่ง 24 ชั่วโมง โดยใช้วิธีรูปแบบไม่ให้ดูเชย ดูทันสมัย มีลักษณะรายการเหมือนเอ็มทีวี แต่เป็นเพลงลูกทุ่ง ซึ่งต่อมาคลื่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนมีการจัดมอบรางวัลมาลัยทองคำขึ้นในปี 2544 และมีการเกิดมาของสถานีลูกทุ่งบนหน้าปัดเอฟเอ็มขึ้นอีกอย่าง ลูกทุ่งมหานคร ที่มีรูปแบบรายการโดยเน้นให้ดีเจเป็นเพื่อนกับคนฟัง ซึ่งฐานคนฟังคลื่นลูกทุ่งมหานคร มีคนฟังนาทีละ 300,000 คน จากทั่วประเทศในเครือข่ายของ อ.ส.ม.ท. โดยเน้นช่วงเวลาระหว่างเที่ยงคืน ตี3 และ ตี5 เพราะมีกลุ่มคนฟังที่ส่งของ ขับรถ ชาวสวนที่ตื่นแต่เช้า เป็นต้น
ทางด้านวงการโทรทัศน์จากที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงใน รายการวาไรตี้โชว์ต่าง ๆ ก็มีรายการที่พัฒนาจาก การค้นหานักร้องลูกทุ่ง ที่มีเกิดขึ้นในเวทีการสรรหานักร้องลูกทุ่งเดิม ไม่ว่าจะเป็นเวทีตามอำเภอ ระดับจังหวัด จนมาสู่รายการเรียลลิตี้โชว์ แบบรายการทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเซีย เดอะ สตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว เดอะ ซิงเกอร์ กับโครงการดาวรุ่งลูกทุ่งไทยแลนด์ เป็นต้น
ส่วนภาพยนตร์ไทย ก็มีการสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อกับเพลงลูกทุ่งอย่างภาพยนตร์ เรื่อง มนต์รักทรานซิสเตอร์ ในปี 2544 กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง และในปี 2545 สหมงคลฟิล์มมีภาพยนตร์ที่รวมนักร้องลูกทุ่งชั้นนำของเมืองไทยร่วม 168 ชีวิต ในภาพยนตร์เรื่อง มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. และด้วยกระแสความโด่งดังของวงโปงลางสะออน กลุ่มศิลปินแนวลูกทุ่งดนตรีอีสาน มีผลงานภาพยนตร์อย่าง โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า ในปี 2550 ทำรายได้รวม 75 ล้านบาท
                                                          สินค้าสนับสนุนเพลงลูกทุ่ง
นับตั้งแต่มีการ เปลี่ยนแปลงของตลาดเพลงลูกทุ่ง ทำให้สินค้าหลายประเภทต่างปรับกลยุทธ์ หาช่องทางทางด้านธุรกิจ อีกทั้งหน้าตาของเพลงทุ่งที่มีทิศทางที่ดูทันสมัยขึ้น ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจะมีสินค้าอุปโภคบริโภคที่เจาะกลุ่มตลาด ล่าง ราคาถูก ต้องการขายในปริมาณมากๆ ซึ่งเพลงลูกทุ่งสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี จริงๆ แล้วรูปแบบที่เกิดกับเพลงลูกทุ่งนั้น ไม่แตกต่างจากวงการเพลงสตริงเลย คือมีเจ้าของสินค้าสนับสนุนศิลปินอยู่ แต่สำหรับตลาดเพลงลูกทุ่ง สินค้าจะมีความหลากหลายกว่า และเจาะกลุ่มลูกค้าคนละแบบ
สินค้า ประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง เป็นสินค้าที่ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่สุดคือ กลุ่มผู้ใช้แรงงาน อย่าง เอ็ม150 ใช้งบประมาณในการจัดงานประมาณปีละ 70 ล้านบาท โดยการสนับสนุนศิลปินแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกเทป คอนเสิร์ต มิวสิกวิดีโอ โดยการรุกของสินค้าเข้าไปถึงทางด้านเนื้อเพลงด้วย อย่างเนื้อที่ว่า ?คนดีอย่างเธอที่เป็น เซเว่นไม่มีให้ซื้อ? หรือ ?รอเธอในร้านเคเอฟซี ที่คาร์ฟูร์? เป็นตัวอย่างเนื้อเพลงที่มีแบรนด์สินค้าเข้าไปปรากฏอยู่ชัดเจน และเพลงที่มีโทรศัพท์มือถือเข้ามาเกี่ยวข้อง ถือว่าเป็นกระแสหลักของเพลงลูกทุ่งในช่วงหลัง ออกมาจำนวนมาก
ผู้คน ที่ใช้โทรศัพท์มือถือ 27 ล้านคน จากผู้ใช้โทรศัพท์ทั้งประเทศ 45 ล้านคน ทางเอไอเอสใช้พรีเซ็นเตอร์นักร้องลูกทุ่ง 4 คน ที่ได้รับความนิยมคือ พี สะเดิด ฝน ธนสุนทร จากแกรมมี่ บ่าววี และ หลิว อาจารียา พรหมพฤกษ์ จากอาร์สยาม ทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งคอนเสิร์ต โหวตศิลปิน และดาวน์โหลดเพลง ด้วยงบประมาณ 30-40 ล้านบาท และทางด้านทรูมูฟ คู่แข่งจะเพิ่มช่องทางขายซิมการ์ดโดยร่วมมือกับคลื่นเพลงลูกทุ่ง ซึ่งทำรายได้ถึงร้อยละ 9.6 จากรายได้รวมของทรูมูฟ ทั้งหมด 22,300 ล้านบาท
ทาง ด้านรถยนต์มี 2 รายที่ใช้เพลงลูกทุ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการตลาด คือ โตโยต้า ใช้ จินตหรา พูนลาภ และอีซูซุคือก๊อต จักรพรรณ์ ครบุรีธีรโชติ
                                                              การส่งเสริมเพลงลูกทุ่ง
ได้ มีการส่งเสริมเพลงลูกทุ่งด้วยการมอบรางวัลทางดนตรีอย่างรางวัลมาลัยทอง ที่มอบเป็น ขวัญ กำลังใจ ให้คนทำงานเพลงลูกทุ่งที่มีคุณภาพ ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ซึ่งเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 โดยสมาคมลูกทุ่ง เอฟ. เอ็ม. ส่วนทางคลื่นวิทยุลูกทุ่งมหานคร อสมท FM. 95 MHz ภายใต้การผลิตรายการของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติก็มีการจัดงานมอบรางวัล มหานครอวอร์ดส

ในปี 2532 สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้จัดงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทย ครั้งแรก ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2532 ซึ่งเป็นช่วงที่วงการเพลงลูกทุ่งเริ่มซบเซา ซึ่งปรากฏว่ามีบรรดานักฟังเพลงลูกทุ่งมาชมกันมากเป็นประวัติการณ์จนต้องจัด ให้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และในปีถัด ๆ ไปสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ก็ได้สนับสนุนเพลงลูกทุ่งไทยมาโดยตลอด และได้จัด งานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค 2 ในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งในปีนี้ เพลง ส้มตำ ถือเป็นเพลงเกียรติยศ ที่นักร้องลูกทุ่งนำมาขับขานในโอกาสการจัดงาน กึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค 2 เพลงลูกทุ่งที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ และได้อัญเชิญมาขับร้องด้วยการบันทึกเสียงโดย พุ่มพวง ดวงจันทร์ และถูกอัญเชิญขับร้องใหม่โดย สุนารี ราชสีมา ในงานนี้ด้วย และในปี พ.ศ. 2534 ได้จัดโครงการจัดทำโครงการส่งเสริมเพลงลูกทุ่งไทยด้วยการประกวดขับร้องเพลง ลูกทุ่งไทย สืบสานคุณค่าวัฒนธรรมไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 จัดให้มีการประกาศผลงานเพลงลูกทุ่งดีเด่นส่งเสริมวัฒนธรรมไทย และ ในวันที 15 กันยายน พ.ศ. 2542 นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ในขณะนั้น ได้จัดงาน 60 ปีเล่าขานตำนานลูกทุ่งไทยขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ยังได้มอบรางวัลศิลปินแห่งชาติในสาขาต่าง ๆ โดยในหมวดหมู่ศิลปะการแสดง ที่มอบให้กับการดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน ซึ่งรวมถึงในหมวดหมู่ย่อยดนตรีไทย ได้รวมเพลงลูกทุ่ง ผู้ที่ได้รับรางวัลได้แก่ นาวาตรีพยงค์ มุกดา (เพลงไทยสากล-เพลงลูกทุ่ง ประพันธ์) (2534),นางผ่องศรี วรนุช (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง) (2535),นายสมเศียร พานทอง (ชาย เมืองสิงห์) (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง ประพันธ์) (2538),นายไวพจน์ สกุลนี (ไวพจน์ เพชรสุพรรณ) (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง ประพันธ์) (2540),นายชัยชนะ บุญนะโชติ (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง) (2541),นายชิน ฝ้ายเทศ (ชินกร ไกรลาศ) (เพลงลูกทุ่ง-ขับร้อง) (2542),นายสมนึก ทองมา (ชลธี ธารทอง) (เพลงลูกทุ่ง-ประพันธ์) (2542),นายวิเชียร คำเจริญ (ลพ บุรีรัตน์) (นักแต่งเพลงลูกทุ่ง) (2548)

chin khalang:
                                                    การแบนเพลงลูกทุ่งและข้อพิพาท
ใน ช่วงที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง คำรณ สัมบุณณานนท์ นักร้องเพลงลูกทุ่ง ผู้ได้รู้รสความเป็นไปของบ้านเมืองจนถ่ายทอดความอึดอัดคับข้องใจต่าง ๆ และได้ถ่ายทอดเพลงอย่าง ?ผู้แทน***? ?แถลงการณ์ไอ้ทุย? ?อสูรกินเมือง? ซึ่งเพลงเหล่านี้ทำให้เขาต้องเลิกร้องเพลงไปเพราะไม่เข้าหูรัฐบาลเผด็จการใน ขณะนั้น
ในปี พ.ศ. 2546 กระทรวงวัฒนธรรม ออกมาเปิดเผยเพลงที่ได้รับการร้องเรียนเข้าข่ายขัดต่อศีลธรรม วัฒนธรรม จำนวน 18 เพลง โดยมีเพลงลูกทุ่งหลาย ๆ เพลงโด่งดังมานานหลายทศวรรษ เช่น เพลง ?เมียพี่มีชู้? โดยอ้างว่า เป็นเพลงขัดต่อศีลธรรมอันดีของประเทศ โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมขอให้ยุติการเผยแพร่ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงและ โทรทัศน์ เพราะมีเนื้อหาหมิ่นเหม่ ผิดต่อศีลธรรม ขัดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของคนไทยและชาติ เพราะส่งเสริมให้มีหลายสามีและหลายภรรยา รวมทั้งพฤติกรรมชู้สาว โดยเฉพาะหลายเพลงมีศิลปินแห่งชาติ และศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนา ที่ควรเป็นแบบอย่างการประพฤติที่ดีงาม เป็นผู้ร้องในเพลงดังกล่าวด้วย เช่น ชาย เมืองสิงห์ และดาวใจ ไพจิตร เป็นต้น
ส่วนเหตุการณ์ที่เป็นข้อ พิพาทในสังคมที่เกิดขึ้นในวงการเพลงลูกทุ่ง ในปี พ.ศ. 2548 ที่กระทรวงวัฒนธรรม ได้ออกออกมาร่วมประณาม นักร้องลูกทุ่งสาว ?เอ? สุขุมา มณีกาญจน์ ได้ถ่ายภาพโชว์หน้าอกเพื่อโปรโมทผลงานเพลง จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม รวมทั้งในปี พ.ศ. 2550 เพลงและมิวสิกวิดีโอเพลง ?ขอโทษแม่เฒ่า? โดยนักร้อง มนต์ เมืองมุก โดยในส่วนของเนื้อเพลงมีเนื้อหาส่อไปในทางลามกอนาจาร โดยเนื้อเพลงบางท่อนร้องว่า ?ลูกผิดที่เอากันก่อนที่จะมาสู่ขอแม่เฒ่า ลูกมาอยู่ กทม.ลูกผิดที่เอากันก่อนจะมาสู่ขอแม่เฒ่า? อีกทั้งภาพมิวสิกวิดีโอก็เป็นภาพของหนุ่มสาวโรงงานคู่หนึ่งที่มีเพศสัมพันธ์ กันด้วย โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมได้ขอให้ยกเลิกและแบนไม่ให้เพลงนี้ออกอากาศทางสถานี วิทยุกระจายเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์ทุกช่อง แต่อย่างไรก็ดี กระทรวงวัฒนธรรมได้ยกเลิกการแบนเพลง ?ขอโทษแม่เฒ่า? ไปในที่สุด เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงการใช้ถ้อยคำในเพลงแล้วได้พบว่า คำว่า ?เอากัน? นั้นเป็นเพียงคำพูดโดยทั่วไปในภาษาท้องถิ่นภาคอีสาน ซึ่งหมายถึงการอยู่กินร่วมกัน อีกทั้งเมื่อพิจารณาถึงภาพที่ปรากฏในมิวสิกวิดีโอแล้วก็พบว่าผู้สร้างมิได้ สื่อสารออกมาในรูปแบบที่น่าเกลียด นอกจากนี้ เนื้อหาของเพลงยังมีส่วนสร้างสรรค์ในแง่มุมที่ดีต่อสังคม โดยแสดงให้เห็นถึงการหวนคิดถึงผู้เฒ่าและบุพการีผู้มีพระคุณและชี้นำให้ หนุ่มสาวกลับไปขอขมาผู้ใหญ่เมื่อตนได้ทำผิด

ประสิทธิ์:
อ่านเรื่องของอาจารย์ชินมาหลายวัน เพิ่งมาอ่านตอนสุดท้ายวันนี้เอง ขอบคุณสำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับดนตรีมาให้อ่านกันนะครับ :'e:71 :'e:71

dotcom:
 :'e:31 :'e:31 :'e:31
กราบสวัสดีครับอาจารย์ชินครับ
ลุงสน อ่านแล้ว ตัดสินใจ มาขออนุญาต คัดลอก
ไปออกอากาศ นะครับ
ประกอบเพลงลูกทุ่งเก่า ๆ ครับ
เชื่อว่าเป็นเสน่ห์ อย่างหนึ่งของนักจัดรายการ
ลูกทุ่งเก่า ๆ ครับ
 :'e:82 :'e:82 :'e:82

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version