ผู้เขียน หัวข้อ: สวดมนต์วันละนิดจิตแจ่มใส(อารมณ์ดี) จริงๆนะ  (อ่าน 3322 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ปลาป๋อง

  • MOD1
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 1645
    1475
  • เพศ: ชาย
  • ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก


ประโยชน์ของการสวดมนต์

 ร่างกายมีความจำเป็นต้องได้รับการอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคลออก เป็นประจำฉันใด แม้จิตใจก็มีความจำเป็นต้องชำระให้ผ่องแผ้ว
อย่างน้อยวันละครั้ง ฉันนั้น แต่ความยุ่งยากอย่างยิ่งในการทำความสะอาดใจ คือ เราไม่สามารถจะใช้น้ำหรือสิ่งใดๆ ในโลกมาล้างใจให้
สะอาดได้ยกเว้น พุทธธรรม ที่เกิดขึ้นในใจของผู้นั้นเอง ทั้งนี้เพราะใจเป็นสิ่งที่เห็นได้โดยยากประการหนึ่ง
          ประการที่สอง ใจไม่ค่อยยอมอยู่นิ่งๆ ชอบเที่ยว ชอบคิดตลอดเวลา
          ประการที่สาม ใจมักจะหลงพอใจในอารมณ์ที่น่าชอบใจ จึงมักนำความเดือดเนื้อร้อนใจมาสู่ตัวเองเสมอ
          วิธีสร้างพุทธธรรมให้เกิดขึ้นในดวงใจ มีวิธีง่ายๆ และนิยมกันมากตั้งแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา คือการท่องหรือสวดหัวข้อธรรมที่
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งเราเรียกว่า สวดพุทธมนต์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า สวดมนต์ ดังนั้น นับตั้งแต่โบราณกาลชาวไทยจึงนิยมสวดมนต์มีการ
ทำวัตรเช้า – เย็นตลอดมา
          ผลของการสวดมนต์เป็นประจำทุกเช้า – เย็น ทำให้บรรพบุรุษของชาวไทยเป็นผู้มีใจสูง รักใคร่ปรองดองกัน มีเมตตาอารีต่อเพื่อน
บ้าน และรังเกียจการรุกรานหรือความรุนแรงใดๆ อาจมีบ้างบางครั้งที่พลั้งเผลอ ปล่อยให้อารมณ์ฝ่ายต่ำเข้าครอบงำ ทำให้ชาวไทยถึงกับ
แตกสามัคคีและทำร้ายกันเอง แต่เมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์ ก็ราวกับได้ยินเสียงพระพุทธเจ้ามาเตือนให้ได้สติหันหน้ากลับมาปรองดองคืนดี
กันดังเดิม สลัดความขุ่นข้องหมองใจทิ้งไปได้อย่างหน้าอัศจรรย์
          ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในระยะพัฒนา นอกจากจะต้องอาศัยกำลังความคิด สติปัญญา และวิชาการแผนใหม่เข้าช่วยขจัด
อุปสรรคนานาประการแล้ว ยังต้องอาศัยความสามัคคี และความเป็นผู้มีใจสูงของประชาชนทุกๆ ฝ่ายอีกด้วย การพัฒนาประเทศจึงจะสำเร็จ
ลุล่วงด้วยดีได้
         ในท่ามกลางกระแสแห่งโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะมนุษย์ก็
พยายามแสวงหาสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด เหมาะที่สุดสำหรับตัวเอง ด้วยการขวนขวายตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น และการที่จะทำ
อะไรสำเร็จสมความมุ่งหมายได้นั้น ที่สำคัญต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งมีความมั่งคงในจิตใจไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆเป็นต้น
          ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจึงแสวงหาวิธีการที่จะทำให้จิตใจมีสภาพมั่นคงด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป คนไทยในฐานะที่นับถือพระพุทธ
ศาสนาเป็นหลักสำหรับยึดเหนี่ยวแล้วยังมีการเสริมสร้างพลังใจโดยอาศัยการสวดสาธยายพระปริตรหรือบทสวดมนต์ต่างๆอันจะทำให้มี
ความมั่นคงในจิตใจ มีกำลังพลังใจในการต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆได้เป็นอย่างดี
การสวดมนต์ คืออะไร
          การสวด หมายถึง การท่องบ่นสาธยายบทสวดเป็นทำนองมนต์ หมายถึง คำภาษาบาลีที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรงซึ่งมี
แหล่งที่มาจากพระไตรปิฎก อีกส่วนหนึ่งเป็นคำบาลีที่อาจารย์ทั้งหลายแต่งขึ้น เพื่อใช้เป็นบทสวดสรรเสริญคุณของพระรัตนะตรัยเสริมสร้าง
ศรัทธาความเลื่อมใสแก่ผู้สวด
          ภาษาบาลีนี้เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้ประกาศพระศาสนา เป็นภาษาที่ใช้จารึกหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็น
ภาษาของพระพุทธเจ้า
          ฉะนั้น การสวดมนต์ จึงมิใช่การท่องบ่นคำบาลีเพื่อให้จดจำได้เท่านั้น แต่ได้หมายถึงการเรียนเอาหลักคำสอนจากถ้อยคำที่
พระพุทธองค์ทรงตรัสด้วยพระโอษฐ์โดยตรงเลยทีเดียว และได้สรรเสริญคุณของพระองค์ คุณของพระรัตนตรัยด้วยภาษาที่พระองค์ใช้สั่ง
สอนพวกเรา
          การสวดมนต์แต่ละครั้งจึงถือว่า ผู้สวดได้รับคุณประโยชน์นานัปการ ทั้งแก่ตัวเองและแก่ส่วนรวมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสวดด้วยวิธีการ
ไหนหรือบทใดก็ตาม หากสวดด้วยความตั้งใจจริง หมั่นพิจารณาเนื้อความจนเข้าใจและรู้ซึ้งถึงความหมายของบทสวดนั้นๆแล้ว ย่อมได้รับ
ผลานิสงส์มากมายดังนี้
          ๑. เป็นการสร้างศรัทธา (สทฺธาพลํ) คือ ความเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนะตรัย กล่าวคือ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และเปิดเผยสัจธรรม
แก่มวลมนุษย์ พระธรรมทำให้เข้าใจในสรรพสิ่งได้อย่างแท้จริง และพระสงฆ์เป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วนำคำสอนนั้นมาเผยแพร่แก่ประชาชน ดังนั้น การสวดมนต์จึงเป็นการเสริมสร้างพลังศรัทธาในพระพุทธศาสนา และน้อมนำหลักธรรม
ทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่ามากที่สุด
          ๒. เป็นการสร้างปัญญา (ปญฺญาพลํ) คือ การสร้างสรรค์พลังทางปัญญา เพราะการที่เราท่องบ่นจดจำหลักธรรมที่ปรากฏในพระสูตร
ต่างๆนั้น แล้วนำไปพิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยการพินิจพิจารณาความหมายของแต่ละสูตร ซึ่งในกระบวนการดังกล่าว
เป็นการพัฒนาทางด้านความคิดและสติปัญญาให้เกิดขึ้น และย่อมสามารถขจัดปัญหาอุปสรรคได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมที่สุด
          ๓. เป็นการไล่ความขี้เกียจ และตัดความเห็นแก่ตัว เพราะในขณะที่กำลังสวดมนต์นั้น ความเบื่อหน่าย ง่วงนอน และเกียจคร้านจะ
หายไป กลับมีจิตใจแช่มชื่นฮึกเฮิมอย่างน่าประหลาด นอกจากนี้ก็เป็นการตัดความเห็นแก่ตัวออกไปอีกด้วย เพราะในขณะที่เราสวดมนต์
อารมณ์จะจดจ่ออยู่ที่บทสวดมนต์ ไม่ทำให้คิดไปในเรื่องอื่นที่เป็นเหตุให้เกิดความฟุ้งซ่าน และเป็นการกำจัดความโลภ ความโกรธ หลง
ออกไปจากใจ
          ๔. จิตสงบเป็นสมาธิ ในขณะที่สวดมนต์ ผู้สวดต้องสำรวมใจให้แน่วแน่ ไม่หวั่นไหวคลอนแคลน มีใจจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ระมัด
ระวังอย่าให้สวดผิดอักขระ ขณะที่สวดอยู่จิตย่อมเป็นสมาธิ และเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วย่อมเกิดความสงบเยือกเย็น ทำให้มีพลังในการคิด
สร้างสรรค์ในสิ่งต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
          ๕. ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กล่าวคือ ในขณะที่เรากำลังสวดมนต์อยู่นั้น เราย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา กล่าวคือ มีกาย
วาจา เป็นปกติ (ศีล) มีใจที่แน่วแน่นิ่งสงบ (สมาธิ) และมีความรู้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า (ปัญญา) ซึ่งเท่ากับว่าเป็น
การได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติบูชา คือ การสวดมนต์
ดังนั้นการสวดมนต์จึงเป็นการทำเพื่อความเจริญแก่ตน ทั้งในด้านสติปัญญาและพัฒนาจิตใจให้งดงาม สั่งสมศรัทธาให้ยึดมั่นและ
น้อมไปในการทำดี การสวดมนต์นั้น ถ้าเพียงแต่สวดคิดพิจารณาไม่นำไปประพฤติปฏิบัติก็จะได้รับผลไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็น
ชาวพุทธ เมื่อเราสวดมนต์ก้มกราบพระพุทธแล้ว ต้องให้รู้ถึงพระธรรมด้วย กล่าวคือ ต้องพยายามทำความศึกษาหัวใจของแต่ละบท และ
เมื่อรู้แล้วก็ให้นำธรรมะนั้นไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง เพื่อให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น มีจิตใจมั่นคงเต็มเปี่ยมด้วย
พลังใจ สามารถในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม ก่อเกิดประโยชน์สุขทั้งแก่ตนเองและสังคมโดยรวม และที่สำคัญที่สุดหากผู้สวดสวดด้วยจิตใจ
ที่เป็นสมาธิ จนดื่มด่ำในรสแห่งพระธรรมอย่างลึกซึ้งแล้ว ย่อมบรรลุถึงเป้าหมายอันสูงสุด คือความพ้นทุกข์ได้ ดังมีข้อความปรากฏ ใน
วิมุตตายตนสูตร ว่า บางคนหมั่นสวดมนต์หรือสาธยายข้อธรรมที่ได้เรียนมา และขณะที่สวดมนต์ด้วยจิตเป็นสมาธินั้น เขาน้อมข้อธรรมา
ปฏิบัติ จนบรรลุถึงความพ้นทุกข์ได้
“ ผู้ที่สวดมนต์เป็นนิตย์ ย่อมได้อานิสงส์อเนกประการ กล่าวคือ ย่อมประสบความสวัสดี มีความเจริญรุ่งเรือง ประสบชัยชนะ รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง มีสุขภาพ (จิต) ดี และทำให้มีอายุยืนยาวอีกด้วย ”
แม้เราสวดภาษาบาลีโดยไม่รู้ความหมายใช่ว่าจะไร้ผล แต่ทำให้เรามีจิตใจที่สงบเย็นขึ้นมาได้ หรือถ้าสวดโดยรู้ความหมายสาระ
สำคัญของบทที่สวดจากคำแปลก็จะยิ่งทำให้เราเกิดศรัทธาเชื่อมั่นในบทสวดมากขึ้น ส่งผลให้ได้รับอานิสงส์จากการสวดมนต์ถึง ๒ ด้าน
พร้อมๆ กัน คือ ความสงบของจิตใจ และแสงสว่างทางปัญญา สามารถนำหลักธรรมในบทสวดไปปฏิบัติตามได้

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=29554
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07/ต.ค./14 19:43น. โดย ปลาป๋อง »

ออฟไลน์ ปรางมล

  • VIP
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 126
    101

มีประโยชน์ดีมากๆ สาธุค่ะ

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=29554

ออฟไลน์ น้ำหวานเจี๊ยบ

  • ปรมาจารย์
  • ***
  • ออฟไลน์
  • 268
    58

ขอบคุณมากครับ สาธุ สาธุ :'e:94

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=29554

ออฟไลน์ สุขใจ

  • มืออาชีพ
  • **
  • ออฟไลน์
  • 84
    88
  • เพศ: หญิง
  • ปล่อยให้กรรม ทำหน้าที่ของมัน

มีเรื่องอยากถ่ายทอดให้ฟังค่ะ

แต่ก่อนดิฉันเป็นคนใจร้อนมาก วู่วาม หงุดหงิดง่าย รู้สึกแย่กับตัวเองมาก ๆ ค่ะ

แต่หลังจากได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ นั่งสมาธิ สวดมนต์

จิตใจเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดค่ะ ไม่เป็นคนมักโกรธ มีสติ สมาธิดีขึ้น

เคยอ่านผลวิจัยในอินเตอร์เน็ต กล่าวว่า การนั่งสมาธิ สวดมนต์จะช่วยให้สมองของเราทำงานเป็นระบบมากขึ้น

อย่างไรเรื่องเช่นนี้คงต้องปฏิบัติเองถึงจะรู้จะเห็นนะคะ เป็นเรื่องที่ดีค่ะ

แม่ชีเคยบอกว่า วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง หลายพันนาที เพียงแค่นั่งสมาธิ 5-10 นาที ทำไม่ได้เชียวหรือ ??

หลังจากนั้น เวลาดิฉันขี้เกียจ จะนึกถึงคำแม่ชีเสมอค่ะ อยากให้ทุกท่านลองปฏิบัติตามดูนะคะ

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=29554