ต้องมนต์กุ้ยหลินริมโขง ที่ “นครพนม” นครแห่งความสุขที่สุดในสยาม
โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม จังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย
ด้วยความเป็นเมืองริมฝั่งโขงอันสงบงาม น่าอยู่ อากาศดี มีธรรมชาติร่มรื่น ผู้คนมีน้ำมิตรไมตรี ทำให้“นครพนม”
ได้รับตำแหน่งแชมป์จังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย(ในช่วง 5 ปีล่าสุด : จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ)
ขณะที่ในมิติด้านการท่องเที่ยวนั้น หลังจังหวัดนครพนมเปิด“สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3” เชื่อม 2 ฝั่งโขงไทย-ลาว
ระหว่างนครพนม-กับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว สภาพการณ์การท่องเที่ยวในนครพนมก็ดูจะคึกคักขึ้น เพราะมีคนมาใช้
สะพานแห่งนี้ข้ามไปเที่ยวยังประเทศเพื่อนบ้าน
นั่นจึงทำให้ทาง องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ภายใต้การนำของ “ดร.สมชอบ นิติพจน์” นายก อบจ.นครพนม
ผุดไอเดียท่องเที่ยว 3 ประเทศ ภายใต้โครงการ “วันเดียวเที่ยว 3 ประเทศ” โดยใช้นครพนมเป็นฮับเชื่อมต่อไปยังลาว-เวียดนาม
ซึ่งรายละเอียดเส้นทางในโครงการนี้ผมจะขอบอกเล่าในโอกาสถัดไป

สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3
สำหรับนครพนม แม้ที่ผ่านมา(หรือแม้กระทั่งในวันนี้)จังหวัดนี้จะถูกนักท่องเที่ยวหลายๆคนมองข้าม มองเป็นเมืองท่องเที่ยวรอง
แต่หากว่าใครได้มีโอกาสมาละเลียดเที่ยวที่นครพนมก็จะพบว่าเมืองนี้มีเสน่ห์อันชวนเที่ยวไม่น้อย
แน่นอนว่าหากพูดถึงไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวของนครพนม ก็ต้องยกให้ “พระธาตุพนม” สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของเมืองไทย
กับประเพณี “ไหลเรือไฟ”ในช่วงวันออกพรรษา
ขณะที่ในตัวเมืองนครพนมที่ล่าสุดเป็นดังฮับเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น วันนี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เริ่มมีชื่อ
โดยเฉพาะกับพวกที่ชอบเที่ยวแบบ Slow Travel แบบเนิบช้า) มาชมเมือง สัมผัสความสงบงาม สัมผัสวิถีชีวิตอันเรียบง่าย
ชมตึกเก่า ขี่จักรยาน นั่งชิลล์ ชิลล์ ชมบรรยากาศริมฝั่งโขง

นครพนมเมืองสงบงามริมฝั่งโขง ที่เหมาะต่อการขี่จักรยานเที่ยวชมเมือง
ริมฝั่งโขง
สำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวในตัวเมือง ผมแบ่งออกเป็น 2 เส้นทางหลักๆ คือ ทางบก กับทางน้ำ เส้นทางบกเป็นเส้นทาง
ท่องเที่ยวเลาะริมฝั่งโขงบน“ถนนสุนทรวิจิตร” ที่ฟากฝั่งหนึ่งเป็นอาคารบ้านเรือน วัดวาอาราม ตลาด ชุมชน ฟากหนึ่งติดแม่น้ำโขง
ฝั่งตรงข้ามมองเห็นเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว ซึ่งเดิมบริเวณนี้เป็นด่านข้ามแดนสำคัญ(ทางน้ำ)ของนครพนมก่อนจะมี
สะพานมิตรภาพฯ แต่วันนี้แม้สร้างสะพานแล้วก็ยังมีคนเลือกที่จะข้ามไปมาหาสู่กันทางเรืออยู่จำนวนหนึ่ง
การเที่ยวเลาะริมโขงนี้ ใครจะขับรถเที่ยว ขี่จักรยานเที่ยว หรือเดินเที่ยวก็สุดแท้แต่ ขึ้นอยู่กับกำลังวังชาของแต่ละคน
เพราะจุดท่องเที่ยวเด่นๆบริเวณนี้ อยู่ไม่ไกลกัน สามารถเดินเที่ยวได้ แต่ก็เหนื่อยหน่อย

วัดนักบุญอันนา หรือ โบสถ์หนองแสง
งานนี้ผมตั้งต้นออกสตาร์ทกันทางทิศเหนือ ที่ “วัดนักบุญอันนา” หรือ “โบสถ์หนองแสง” วัดในศาสนาคริสต์อายุเกือบร้อยปี
สร้างขึ้นในปี 2469 โดยคุณพ่อเอทัวร์ นำลาภ อดีตอธิการโบสถ์
โบสถ์หนองแสงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยคริสต์เชื้อสายเวียดนามในอำเภอเมือง ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิก
มีหอคอยคู่ยอดแหลมโดดเด่น ในสมัยสงครามเวียดนามโบสถ์หลังนี้ได้รับความเสียหายจากระเบิด ก่อนจะได้รับการบูรณะซ่อมแซม
ในภายหลัง ช่วงวันคริสต์มาสโบสถ์หนองแสงมีงานแห่ดาวโดยชาวคริสต์แต่ละชุมชนจะประดิษฐ์ดาวขนาดใหญ่รูปแบบต่างๆ
แล้วแห่มารวมกันไว้ที่นี่

พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่า
จากโบสถ์หนองแสงถัดลงมาทางใต้เป็น “พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม(หลังเก่า)” อดีตจวนผู้ว่าราชการ
จ.นครพนม เก่าที่ปัจจุบันจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครพนม ประวัติการก่อสร้างอาคารหลังนี้
เรื่องราวการเสด็จจังหวัดนครพนมของในหลวงและพระราชินี รวมไปถึงงานประเพณีต่างๆของชาวนครพนม
นอกจากสิ่งน่าสนใจในพิพิธภัณฑ์ที่ชวนให้เที่ยวชมแล้ว พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่ายังมีความโดดเด่นตรงตัวอาคารที่สร้างในสไตล์
“เฟรนซ์โคโลเนียล” ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของกลุ่มอาคารเก่าจำนวนหนึ่งในตัวเมืองเก่านครพนมที่สร้างในรูปแบบนี้ โดยอาคาร
เหล่านี้สร้างขึ้นในยุคล่าอาณานิคมที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองลาว เวียดนาม เขมร ที่นอกจากพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าแล้วก็ยังมี
พิพิธภัณฑ์หอสมุดแห่งชาติเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของตึกเก่ากลางเมือง

หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์
สิ่งน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งบริเวณถนนสายนี้คือ “หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์” ที่อยู่ไม่ไกลจากจวนผู้ว่า หอนาฬิกาแห่งนี้
ชาวเวียดนามที่เคยอพยพมาอยู่เมืองไทยสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนมเมื่อคราวย้ายกลับประเทศ ในปี พ.ศ. 2503
โดยในละแวกหอนาฬิกามีบ้านเรือนเก่าทรงสวยงามน่าถ่ายรูปอยู่หลายหลัง
แล้วก็มาถึงจุดชวนเสียทรัพย์กับ “ตลาดอินโดจีน”แห่งนครพนม ที่ตลาดใหญ่แหล่งรวมเอาของกิน ของใช้ เสื้อผ้า
ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากประเทศจีน ขายในราคาไม่แพง สินค้าหลายชนิดเป็นของก็อปปี้
(ของ)แท้ที่ได้รับความนิยมจากนักช้อปเป็นจำนวนมาก

วัดโอกาสศรีบัวบาน
บนถนนสายนี้มีวัดสำคัญ อยู่ 2 แห่ง วัดแรกคือ“วัดโอกาสศรีบัวบาน” ตั้งอยู่ติดกับตลาดอินโดจีน(ด้านข้างทางทิศเหนือ)
วัดนี้ประดิษฐาน “พระติ้ว”-“พระเทียม” พระพุทธรูปคู่แฝดที่เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองนครพนม ที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะ
กราบไหว้กันไม่ได้ขาด
วัดสำคัญอีกวัดหนึ่งคือ “วัดมหาธาตุ” วัดแห่งนี้มี “พระธาตุนคร” พระธาตุศักดิ์สิทธิ์สำคัญกลางเมือง ภายในบรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระสีวลี พระพุทธรูปทองคำ และของมีค่าต่างๆ เป็นที่เคารพสักการะของคนนครพนม
องค์พระธาตุองค์ปัจจุบัน มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส คล้ายพระธาตุพนมองค์เดิม
และนั่นก็คือจุดท่องเที่ยวเด่นๆบนถนนสุนทรวิจิตรริมฝั่งโขง ที่ในยามค่ำคืนสิ่งก่อสร้างสำคัญๆบนถนนแห่งนี้จะมีการฉายไฟ
สปอร์ตไลท์สาดส่อง ช่วยขับเน้นสถาปัตยกรรมเหล่านี้ให้ดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น นอกจากนี้บนถนนสายนี้ยังมีร้านอาหารริมโขง
ทั้งบรรยากาศเก๋ๆและบรรยากาศแบบบ้านๆให้เลือกนั่งกันหลายร้าน นับเป็นสีสันริมฝั่งโขงกลางเมืองนครพนมที่มากไปด้วยเสน่ห์
ชวนสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง

พระธาตุนคร แห่งวัดมหาธาตุ
กลางฝั่งโขง
ในช่วงประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นพฤษภาคม ช่วงแม่น้ำโขงลดระดับลงสุดๆ แม่น้ำโขงบริเวณหน้าเมืองนครพนม
จะเกิดเป็นหาดทรายน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีชื่อเรียกขานว่า “หาดทรายทองศรีโคตรบูรณ์” หรือ "หาดทรายทอง"
ซึ่งในช่วงเช้า หาดทรายที่นี่ยามถูกแสงแดดส่องต้องกระทบจะเกิดเป็นริ้วสันดอนทรายสีทองอันงดงามจนได้รับการยกย่องให้เป็น
หนึ่งในอันซีนไทยแลนด์

ทิวทัศน์แม่น้ำโขงฝั่งลาว ในบรรยากาศกุ้ยหลินริมโขง
อย่างไรก็ดีในช่วงหน้าน้ำ แม่น้ำโขงที่มีสายน้ำไหลรี่ก็มีเสน่ห์ความน่าสนใจไปอีกแบบ ซึ่งทางจังหวัดนครพนมได้จัด
กิจกรรมล่องเรือชมทิวทัศน์ริมฝั่งโขงขึ้น ในช่วง 5 โมงเย็นของทุกๆวัน จุดล่องเรือจะอยู่ที่ท่าเรือหน้าตลาดอินโดจีน
โดยสนนราคาค่าเรือ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท เรือที่ล่องเป็นเรือ 2 ชั้น แล้วแต่ใครจะเลือกนั่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือก
นั่งบนดาดฟ้าชั้น 2 เพราะสามารถนั่งกินลมชมวิวได้ชัดเจน
บนเรือมีอาหารกินเล่น และเครื่องดื่มขาย ซึ่งของกินที่ขายดีก็เห็นจะเป็นลูกชิ้น ส่วนเครื่องดื่มที่ขายดีก็คือเบียร์ ดื่มเบียร์ไป
หม่ำลูกชิ้นไป ชมวิวไป นับเป็นอารมณ์กรึ่มๆที่ชวนเพลิดเพลินไม่น้อย

บรรยากาศบนเรือชั้นสอง
ใครที่นั่งเรือแล้วตั้งใจฟังวิทยากรผู้บรรยายนอกจากจะได้ความรู้ ความสำคัญของจุดต่างๆที่เรือล่องผ่านแล้ว
ยังได้ความฮาเป็นอาหารเสริม ซึ่งบางคนก็ฮาแบบกลั้นไว้เอาแต่พองาม ส่วนบางคนก็ฮาไม่กั๊ก ปล่อยขำออกมาแบบ
ประเภทอุจาระแตกอุจจาระแตนกันเลยทีเดียว เรือลำนี้จะล่องออกจากจุดเริ่มต้นไปสิ้นสุดที่วัดนักบุญอันนา ก่อนแล่น
กลับเลี้ยวเข้าไปใกล้ฝั่งลาว ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างทางล่องแม่น้ำโขง มีวิวทิวทัศน์ริมฝั่งโขง
ไทย-ลาวให้ชมกันอย่างจุใจ

วิวริมโขงฝั่งไทย
ในฝั่งไทยมีจุดเด่นๆ อาทิ ตลาดอินโดจีน สวนสาธารณะริมโขงที่ยามเย็นมีเหล่าแม่บ้านมาเต้นแอโรบิกออกกำลังกาย
มองเห็นบ้านเรือนริมน้ำ กระชังปลา บ้านเรือนแพ สภาพบ้านเมืองริมน้ำของฝั่งไทยที่มีการสร้างเขื่อนกันแม่น้ำโขงกัดเซาะ
ไปตลอดแนว แถมวันนั้นเรายังได้เห็นทีมฝีพายเรือยาวมาซ้อมพาย ชนิดที่เรือยาวของเหล่าฝีผายสามารถพายแซงเรือล่อง
ชมแม่น้ำโขงที่ใช้เครื่องยนต์ได้อย่างไม่ยากเย็น

บ้านเรือนแพกับวิถีริมน้ำฝั่งไทย
ส่วนฝั่งลาวนั้นเป็นฝั่งท่าแขกมีความเป็นชนบทมากกว่าฝั่งไทย มีสภาพเป็นแนวป่าไม้ มีบ้านเรือนแทรกประปราย
ท่ามกลางแนวทิวเขาทอดยาวขึ้นเป็นฉากหลัง สำหรับจุดที่ดูเจริญทางสิ่งก่อสร้างมากที่สุดในฝั่งลาวก็เห็นจะเป็นที่
ตัวเมืองท่าแขกที่มีด่านข้ามแดน ท่าเรือข้ามมาฝั่งไทย โรงแรม อาคารเก่าสไตล์เฟรนซ์โคโลเนียล
แม้สิ่งก่อสร้างที่เมืองท่าแขกจะยังดูขึ้นอยู่แบบหลวมๆ ความหนาแน่นน้อยกว่าทางฝั่งไทย แต่หากเทียบกับที่
ผมเคยมาล่องเรือที่นี่เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ต้องยอมรับว่าสิ่งก่อสร้าง ความเจริญทางวัตถุในลาวผุดขึ้นมาเยอะทีเดียว

ด่านข้ามแดนท่าแขก
สำหรับการล่องเรือในเขตใกล้ฝั่งลาว(ขากลับ) ทิวทัศน์ที่เป็นมุมไฮไลท์ก็คือวิวฝั่งไทย ที่มองเห็นพระอาทิตย์ตก
บ้านเรือนวัดวาอารามริมน้ำอันน่ายล ส่วนเมื่อเรืออยู่ริมฝั่งไทย(ขาไป) ทิวทัศน์ที่เป็นไฮไลท์สำหรับผมก็คือ วิวของภูเขา
ที่ทอดแนวตั้งตระหง่าน มองเห็นเป็นแนวสูง-ต่ำสลับไปมา บางช่วงมีแนวเขาซ้อนชั้นให้มิติลึกเข้าไปอีก หลายๆคนเรียก
วิวภูเขาริมโขงที่นี่ว่า “กุ้ยหลินเมืองลาว” แต่สำหรับผมเห็นว่าชื่อกุ้ยหลินเมืองลาว มันซ้ำกับที่วังเวียงแล้ว จึงขอเรียก
ทิวทัศน์ริมฝั่งโขงที่นี่ว่า “กุ้ยหลินริมโขง” ซึ่งนี่ถือเป็นวิวริมฝั่งโขงที่นอกจากจะมีความงามแล้วยังมีความเป็นเอกลักษณ์
เฉพาะตัวอันโดดเด่นไม่น้อยเลย

ทิวทัศน์เมืองท่าแขก ริมโขงฝั่งลาว
และนี่ก็คือเสน่ห์แห่งลำน้ำโขงของนครพนมที่ช่วงน้ำหลาก น้ำแห้ง มีมนต์อันชวนสัมผัสแตกต่างกันไป ซึ่งทั้ง
เสน่ห์ทางบกและทางเสน่ห์ทางน้ำของตัวเมืองนครพนม ล้วนต่างมีมนต์สะกดให้ผมหลงรัก
...แม้ไม่ถึงขนาดหัวปักหัวปำ แต่ก็ทำให้รักชนิดต้องหาโอกาสหวนกลับไปเยือนเมืองนี้อยู่เรื่อยๆ
***********************************************************
ผู้สนใจสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร การเดินทางในจังหวัดนครพนม การข้ามแดน
โปรแกรมท่องเที่ยวภายใต้โครงการวันเดียวเที่ยว 3 ประเทศ ได้ที่ อบจ.นครพนม 0-4251-6293 ต่อฝ่าย
การท่องเที่ยว,สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม 0-4251-2551,0-4251-1933,การท่องเที่ยวแห่ง
ประเทศไทย(ททท.)สำนักงานนครพนม 0-4251-3490-1
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นำมาจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000098555
โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม จังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย
ด้วยความเป็นเมืองริมฝั่งโขงอันสงบงาม น่าอยู่ อากาศดี มีธรรมชาติร่มรื่น ผู้คนมีน้ำมิตรไมตรี ทำให้“นครพนม”
ได้รับตำแหน่งแชมป์จังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย(ในช่วง 5 ปีล่าสุด : จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ)
ขณะที่ในมิติด้านการท่องเที่ยวนั้น หลังจังหวัดนครพนมเปิด“สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3” เชื่อม 2 ฝั่งโขงไทย-ลาว
ระหว่างนครพนม-กับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว สภาพการณ์การท่องเที่ยวในนครพนมก็ดูจะคึกคักขึ้น เพราะมีคนมาใช้
สะพานแห่งนี้ข้ามไปเที่ยวยังประเทศเพื่อนบ้าน
นั่นจึงทำให้ทาง องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ภายใต้การนำของ “ดร.สมชอบ นิติพจน์” นายก อบจ.นครพนม
ผุดไอเดียท่องเที่ยว 3 ประเทศ ภายใต้โครงการ “วันเดียวเที่ยว 3 ประเทศ” โดยใช้นครพนมเป็นฮับเชื่อมต่อไปยังลาว-เวียดนาม
ซึ่งรายละเอียดเส้นทางในโครงการนี้ผมจะขอบอกเล่าในโอกาสถัดไป
สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3
สำหรับนครพนม แม้ที่ผ่านมา(หรือแม้กระทั่งในวันนี้)จังหวัดนี้จะถูกนักท่องเที่ยวหลายๆคนมองข้าม มองเป็นเมืองท่องเที่ยวรอง
แต่หากว่าใครได้มีโอกาสมาละเลียดเที่ยวที่นครพนมก็จะพบว่าเมืองนี้มีเสน่ห์อันชวนเที่ยวไม่น้อย
แน่นอนว่าหากพูดถึงไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวของนครพนม ก็ต้องยกให้ “พระธาตุพนม” สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของเมืองไทย
กับประเพณี “ไหลเรือไฟ”ในช่วงวันออกพรรษา
ขณะที่ในตัวเมืองนครพนมที่ล่าสุดเป็นดังฮับเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น วันนี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เริ่มมีชื่อ
โดยเฉพาะกับพวกที่ชอบเที่ยวแบบ Slow Travel แบบเนิบช้า) มาชมเมือง สัมผัสความสงบงาม สัมผัสวิถีชีวิตอันเรียบง่าย
ชมตึกเก่า ขี่จักรยาน นั่งชิลล์ ชิลล์ ชมบรรยากาศริมฝั่งโขง
นครพนมเมืองสงบงามริมฝั่งโขง ที่เหมาะต่อการขี่จักรยานเที่ยวชมเมือง
ริมฝั่งโขง
สำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวในตัวเมือง ผมแบ่งออกเป็น 2 เส้นทางหลักๆ คือ ทางบก กับทางน้ำ เส้นทางบกเป็นเส้นทาง
ท่องเที่ยวเลาะริมฝั่งโขงบน“ถนนสุนทรวิจิตร” ที่ฟากฝั่งหนึ่งเป็นอาคารบ้านเรือน วัดวาอาราม ตลาด ชุมชน ฟากหนึ่งติดแม่น้ำโขง
ฝั่งตรงข้ามมองเห็นเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว ซึ่งเดิมบริเวณนี้เป็นด่านข้ามแดนสำคัญ(ทางน้ำ)ของนครพนมก่อนจะมี
สะพานมิตรภาพฯ แต่วันนี้แม้สร้างสะพานแล้วก็ยังมีคนเลือกที่จะข้ามไปมาหาสู่กันทางเรืออยู่จำนวนหนึ่ง
การเที่ยวเลาะริมโขงนี้ ใครจะขับรถเที่ยว ขี่จักรยานเที่ยว หรือเดินเที่ยวก็สุดแท้แต่ ขึ้นอยู่กับกำลังวังชาของแต่ละคน
เพราะจุดท่องเที่ยวเด่นๆบริเวณนี้ อยู่ไม่ไกลกัน สามารถเดินเที่ยวได้ แต่ก็เหนื่อยหน่อย
วัดนักบุญอันนา หรือ โบสถ์หนองแสง
งานนี้ผมตั้งต้นออกสตาร์ทกันทางทิศเหนือ ที่ “วัดนักบุญอันนา” หรือ “โบสถ์หนองแสง” วัดในศาสนาคริสต์อายุเกือบร้อยปี
สร้างขึ้นในปี 2469 โดยคุณพ่อเอทัวร์ นำลาภ อดีตอธิการโบสถ์
โบสถ์หนองแสงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยคริสต์เชื้อสายเวียดนามในอำเภอเมือง ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิก
มีหอคอยคู่ยอดแหลมโดดเด่น ในสมัยสงครามเวียดนามโบสถ์หลังนี้ได้รับความเสียหายจากระเบิด ก่อนจะได้รับการบูรณะซ่อมแซม
ในภายหลัง ช่วงวันคริสต์มาสโบสถ์หนองแสงมีงานแห่ดาวโดยชาวคริสต์แต่ละชุมชนจะประดิษฐ์ดาวขนาดใหญ่รูปแบบต่างๆ
แล้วแห่มารวมกันไว้ที่นี่
พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่า
จากโบสถ์หนองแสงถัดลงมาทางใต้เป็น “พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม(หลังเก่า)” อดีตจวนผู้ว่าราชการ
จ.นครพนม เก่าที่ปัจจุบันจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครพนม ประวัติการก่อสร้างอาคารหลังนี้
เรื่องราวการเสด็จจังหวัดนครพนมของในหลวงและพระราชินี รวมไปถึงงานประเพณีต่างๆของชาวนครพนม
นอกจากสิ่งน่าสนใจในพิพิธภัณฑ์ที่ชวนให้เที่ยวชมแล้ว พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่ายังมีความโดดเด่นตรงตัวอาคารที่สร้างในสไตล์
“เฟรนซ์โคโลเนียล” ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของกลุ่มอาคารเก่าจำนวนหนึ่งในตัวเมืองเก่านครพนมที่สร้างในรูปแบบนี้ โดยอาคาร
เหล่านี้สร้างขึ้นในยุคล่าอาณานิคมที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองลาว เวียดนาม เขมร ที่นอกจากพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าแล้วก็ยังมี
พิพิธภัณฑ์หอสมุดแห่งชาติเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของตึกเก่ากลางเมือง
หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์
สิ่งน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งบริเวณถนนสายนี้คือ “หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์” ที่อยู่ไม่ไกลจากจวนผู้ว่า หอนาฬิกาแห่งนี้
ชาวเวียดนามที่เคยอพยพมาอยู่เมืองไทยสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนมเมื่อคราวย้ายกลับประเทศ ในปี พ.ศ. 2503
โดยในละแวกหอนาฬิกามีบ้านเรือนเก่าทรงสวยงามน่าถ่ายรูปอยู่หลายหลัง
แล้วก็มาถึงจุดชวนเสียทรัพย์กับ “ตลาดอินโดจีน”แห่งนครพนม ที่ตลาดใหญ่แหล่งรวมเอาของกิน ของใช้ เสื้อผ้า
ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากประเทศจีน ขายในราคาไม่แพง สินค้าหลายชนิดเป็นของก็อปปี้
(ของ)แท้ที่ได้รับความนิยมจากนักช้อปเป็นจำนวนมาก
วัดโอกาสศรีบัวบาน
บนถนนสายนี้มีวัดสำคัญ อยู่ 2 แห่ง วัดแรกคือ“วัดโอกาสศรีบัวบาน” ตั้งอยู่ติดกับตลาดอินโดจีน(ด้านข้างทางทิศเหนือ)
วัดนี้ประดิษฐาน “พระติ้ว”-“พระเทียม” พระพุทธรูปคู่แฝดที่เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองนครพนม ที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะ
กราบไหว้กันไม่ได้ขาด
วัดสำคัญอีกวัดหนึ่งคือ “วัดมหาธาตุ” วัดแห่งนี้มี “พระธาตุนคร” พระธาตุศักดิ์สิทธิ์สำคัญกลางเมือง ภายในบรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระสีวลี พระพุทธรูปทองคำ และของมีค่าต่างๆ เป็นที่เคารพสักการะของคนนครพนม
องค์พระธาตุองค์ปัจจุบัน มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส คล้ายพระธาตุพนมองค์เดิม
และนั่นก็คือจุดท่องเที่ยวเด่นๆบนถนนสุนทรวิจิตรริมฝั่งโขง ที่ในยามค่ำคืนสิ่งก่อสร้างสำคัญๆบนถนนแห่งนี้จะมีการฉายไฟ
สปอร์ตไลท์สาดส่อง ช่วยขับเน้นสถาปัตยกรรมเหล่านี้ให้ดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น นอกจากนี้บนถนนสายนี้ยังมีร้านอาหารริมโขง
ทั้งบรรยากาศเก๋ๆและบรรยากาศแบบบ้านๆให้เลือกนั่งกันหลายร้าน นับเป็นสีสันริมฝั่งโขงกลางเมืองนครพนมที่มากไปด้วยเสน่ห์
ชวนสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง
พระธาตุนคร แห่งวัดมหาธาตุ
กลางฝั่งโขง
ในช่วงประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นพฤษภาคม ช่วงแม่น้ำโขงลดระดับลงสุดๆ แม่น้ำโขงบริเวณหน้าเมืองนครพนม
จะเกิดเป็นหาดทรายน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีชื่อเรียกขานว่า “หาดทรายทองศรีโคตรบูรณ์” หรือ "หาดทรายทอง"
ซึ่งในช่วงเช้า หาดทรายที่นี่ยามถูกแสงแดดส่องต้องกระทบจะเกิดเป็นริ้วสันดอนทรายสีทองอันงดงามจนได้รับการยกย่องให้เป็น
หนึ่งในอันซีนไทยแลนด์
ทิวทัศน์แม่น้ำโขงฝั่งลาว ในบรรยากาศกุ้ยหลินริมโขง
อย่างไรก็ดีในช่วงหน้าน้ำ แม่น้ำโขงที่มีสายน้ำไหลรี่ก็มีเสน่ห์ความน่าสนใจไปอีกแบบ ซึ่งทางจังหวัดนครพนมได้จัด
กิจกรรมล่องเรือชมทิวทัศน์ริมฝั่งโขงขึ้น ในช่วง 5 โมงเย็นของทุกๆวัน จุดล่องเรือจะอยู่ที่ท่าเรือหน้าตลาดอินโดจีน
โดยสนนราคาค่าเรือ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท เรือที่ล่องเป็นเรือ 2 ชั้น แล้วแต่ใครจะเลือกนั่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือก
นั่งบนดาดฟ้าชั้น 2 เพราะสามารถนั่งกินลมชมวิวได้ชัดเจน
บนเรือมีอาหารกินเล่น และเครื่องดื่มขาย ซึ่งของกินที่ขายดีก็เห็นจะเป็นลูกชิ้น ส่วนเครื่องดื่มที่ขายดีก็คือเบียร์ ดื่มเบียร์ไป
หม่ำลูกชิ้นไป ชมวิวไป นับเป็นอารมณ์กรึ่มๆที่ชวนเพลิดเพลินไม่น้อย
บรรยากาศบนเรือชั้นสอง
ใครที่นั่งเรือแล้วตั้งใจฟังวิทยากรผู้บรรยายนอกจากจะได้ความรู้ ความสำคัญของจุดต่างๆที่เรือล่องผ่านแล้ว
ยังได้ความฮาเป็นอาหารเสริม ซึ่งบางคนก็ฮาแบบกลั้นไว้เอาแต่พองาม ส่วนบางคนก็ฮาไม่กั๊ก ปล่อยขำออกมาแบบ
ประเภทอุจาระแตกอุจจาระแตนกันเลยทีเดียว เรือลำนี้จะล่องออกจากจุดเริ่มต้นไปสิ้นสุดที่วัดนักบุญอันนา ก่อนแล่น
กลับเลี้ยวเข้าไปใกล้ฝั่งลาว ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างทางล่องแม่น้ำโขง มีวิวทิวทัศน์ริมฝั่งโขง
ไทย-ลาวให้ชมกันอย่างจุใจ
วิวริมโขงฝั่งไทย
ในฝั่งไทยมีจุดเด่นๆ อาทิ ตลาดอินโดจีน สวนสาธารณะริมโขงที่ยามเย็นมีเหล่าแม่บ้านมาเต้นแอโรบิกออกกำลังกาย
มองเห็นบ้านเรือนริมน้ำ กระชังปลา บ้านเรือนแพ สภาพบ้านเมืองริมน้ำของฝั่งไทยที่มีการสร้างเขื่อนกันแม่น้ำโขงกัดเซาะ
ไปตลอดแนว แถมวันนั้นเรายังได้เห็นทีมฝีพายเรือยาวมาซ้อมพาย ชนิดที่เรือยาวของเหล่าฝีผายสามารถพายแซงเรือล่อง
ชมแม่น้ำโขงที่ใช้เครื่องยนต์ได้อย่างไม่ยากเย็น
บ้านเรือนแพกับวิถีริมน้ำฝั่งไทย
ส่วนฝั่งลาวนั้นเป็นฝั่งท่าแขกมีความเป็นชนบทมากกว่าฝั่งไทย มีสภาพเป็นแนวป่าไม้ มีบ้านเรือนแทรกประปราย
ท่ามกลางแนวทิวเขาทอดยาวขึ้นเป็นฉากหลัง สำหรับจุดที่ดูเจริญทางสิ่งก่อสร้างมากที่สุดในฝั่งลาวก็เห็นจะเป็นที่
ตัวเมืองท่าแขกที่มีด่านข้ามแดน ท่าเรือข้ามมาฝั่งไทย โรงแรม อาคารเก่าสไตล์เฟรนซ์โคโลเนียล
แม้สิ่งก่อสร้างที่เมืองท่าแขกจะยังดูขึ้นอยู่แบบหลวมๆ ความหนาแน่นน้อยกว่าทางฝั่งไทย แต่หากเทียบกับที่
ผมเคยมาล่องเรือที่นี่เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ต้องยอมรับว่าสิ่งก่อสร้าง ความเจริญทางวัตถุในลาวผุดขึ้นมาเยอะทีเดียว
ด่านข้ามแดนท่าแขก
สำหรับการล่องเรือในเขตใกล้ฝั่งลาว(ขากลับ) ทิวทัศน์ที่เป็นมุมไฮไลท์ก็คือวิวฝั่งไทย ที่มองเห็นพระอาทิตย์ตก
บ้านเรือนวัดวาอารามริมน้ำอันน่ายล ส่วนเมื่อเรืออยู่ริมฝั่งไทย(ขาไป) ทิวทัศน์ที่เป็นไฮไลท์สำหรับผมก็คือ วิวของภูเขา
ที่ทอดแนวตั้งตระหง่าน มองเห็นเป็นแนวสูง-ต่ำสลับไปมา บางช่วงมีแนวเขาซ้อนชั้นให้มิติลึกเข้าไปอีก หลายๆคนเรียก
วิวภูเขาริมโขงที่นี่ว่า “กุ้ยหลินเมืองลาว” แต่สำหรับผมเห็นว่าชื่อกุ้ยหลินเมืองลาว มันซ้ำกับที่วังเวียงแล้ว จึงขอเรียก
ทิวทัศน์ริมฝั่งโขงที่นี่ว่า “กุ้ยหลินริมโขง” ซึ่งนี่ถือเป็นวิวริมฝั่งโขงที่นอกจากจะมีความงามแล้วยังมีความเป็นเอกลักษณ์
เฉพาะตัวอันโดดเด่นไม่น้อยเลย
ทิวทัศน์เมืองท่าแขก ริมโขงฝั่งลาว
และนี่ก็คือเสน่ห์แห่งลำน้ำโขงของนครพนมที่ช่วงน้ำหลาก น้ำแห้ง มีมนต์อันชวนสัมผัสแตกต่างกันไป ซึ่งทั้ง
เสน่ห์ทางบกและทางเสน่ห์ทางน้ำของตัวเมืองนครพนม ล้วนต่างมีมนต์สะกดให้ผมหลงรัก
...แม้ไม่ถึงขนาดหัวปักหัวปำ แต่ก็ทำให้รักชนิดต้องหาโอกาสหวนกลับไปเยือนเมืองนี้อยู่เรื่อยๆ
***********************************************************
ผู้สนใจสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร การเดินทางในจังหวัดนครพนม การข้ามแดน
โปรแกรมท่องเที่ยวภายใต้โครงการวันเดียวเที่ยว 3 ประเทศ ได้ที่ อบจ.นครพนม 0-4251-6293 ต่อฝ่าย
การท่องเที่ยว,สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม 0-4251-2551,0-4251-1933,การท่องเที่ยวแห่ง
ประเทศไทย(ททท.)สำนักงานนครพนม 0-4251-3490-1
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นำมาจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000098555