สัพเพเหระ > เป็นนักเลงกลอนอย่านอนเปล่า
กวีวรรค
ชบาบาน:
ท่าน"แม้ท เมืองชล" ก็มาแล้ว ด้วยบทกลอนที่เจ้าตัวว่ายังไม่สันทัด แต่ที่จริงท่านก็มีฝีไม้ลายมือหาด้อยกว่าผู้อื่นไม่ ขอบพระคุณขอรับกระผม มาอีกนะ
มาบ่อยๆยิ่งดี
ชบาบาน:
อาจารย์นภาลัย ฤกษฺ์ชนะ เป็นประธานชมรมวรรณศิลป์จุฬาฯ ในปี2507 ทำงานเป็นครู
ทำงานธนาคาร เคยไปเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยที่ฮันกุ๊กเกาหลีใต้อยู่ประมาณ10 ปี คู่ชีวิตอาจารย์ก็เป็น
นักกลอนฝีมือดีเช่นกัน กลับจากเกาหลีก็ทำงานหนังสือพิมพ์ ในที่สุดก็เข้าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมมาธิราช
อาจารย์ นภาลัยฝักไฝ่เรียนรู้เกี่ยวกับกลอนมาตั้งแต่ชั้นมัธยม แข่งขันการเขียนบทกวีได้รางวัล
ชนะเลิศมาหลายครั้งหลายหน ลีลากลอนแปดของท่านหลือร้าย ใช้ถ้อยคำที่สวยงามสละสลวย และความคิดอ่าน
ทันสมัยเสมอมา เคร่งครัดต่อฉันทลักษณ์ เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษา มีบทกลอนที่ดีๆออกมามากมาย เนื้อหาของ
แต่ละบทสร้างสรรชัดเจน การเลือกใช้ถ้อยคำกระทัดรัดแต่ความหมายยิ่งใหญ่ พรรณาโวหารลึกซึ้ง สำผัสเรียง
ร้อยถ้อยคำลื่นไหลสดสวย หามาอ่านประทืองปัญญาและอารมณ์กันเถิดขอรับ
หมอบพับเพียบเลียบริมน้ำปริ่มฝั่ง
ตะแคงฟังนิยายเพลินจากเนินหญ้า
ระบำมดคดเคี้ยวลับเคียวตา
หยาดน้ำฟ้าลากลิ้งทิ้งใบบอน
แมลงปอเกาะหินเลื่อมปิ่นรุ้ง
ผีเสื้อพุ่งอวดแพรแผ่ปีกร่อน
กิ้งกือหักความอายออกกรายกร
กะรอกหย่อนลูกหว้าหยั่งท้าทาย
เมื่อเอนพิงอิงพักหนุนตักหล้า
แนบเงาฟ้าในน้ำเปี่ยมความหมาย
ธรรมชาติวาดแต้มอย่างแย้มพราย
และโลกส่ายกายหมุนด้วยคุ้นเคย
เหม่อมองฟ้าสีฟ้ากว้างกว่ากว้าง
คิ้วรุ้งค้างเนตรสูรย์มุ่นหมอกเสย
แย้มเสี้ยวเมฆยิ้มแดดสีแสดเอย
หัตถ์ลมเชยเผยแก้มแพลมยิ้มพลัน
แล้วสบตากับเรา-เงาในน้ำ
ไหลลำนำฉ่ำใจคล้ายเคลิ้มฝัน
พิสุจนิ์ใสไล้หล้ารับตาวัน
กล่อมดวงขวัญล่องลิบทิพยา
เรามองโลกสดใสในวันนี้
ด้วยใจที่อ่อนวัยไร้เดียงสา
ทุกสิ่งช่วยอวยสุขทุกเวลา
หากวันหน้าเป็นอย่างไร....ไม่อาจรู้
จากบทกลอน"ห้วงคำนึง ของ จิรนันท์ พิตรปรีชา คัดลอกจาหนังสือ"ใบไม้ที่หายไป"
ชื่อนี้คอหนังสือย่อมประจักษ์ว่าเป็นเช่นไร รางวัลซีไรท์ปี2532 เป็นหลักประกันความยิ่งใหญ่
อลังการ์ของกวีสาวชาวเมืองตรัง!
ชบาบาน:
ดูเหมือนบทกลอนห้วงคำนึงนี้ จะเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษา
อยู่กระมัง เนื้อหาจึงค่อนข้างพรรณาธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ กระผมชื่นชอบอยู่วรรคหนึ่ง ที่
เป็นวรรคทองในใจตัวกระผมเอง คือคำว่า"...ระบำมดคดเคี้ยวจากเรียวตา..." มันบอกไม่ถุกว่าอารมณ์ความรู้สึก
เป็นเช่นไร คำคำนี้ให้ความหมายสุดที่บรรยายได้จริงจริง เพียงหลับตาเห็นภาพตามนั้น นี่เป็น
ความสามารถพิเศษที่นักกลอนท่านอื่นทำไม่ได้เหมือนท่าน
หลังเหตุวิปโยคครั้งใหญ่ ถือเป็นยุคใหม่ของท่านกวีผู้นี้ จากหนุ่มสาวสลักเสลาบทกลอนอ่อนหวาน
มาเป็น"....เปลี่ยนมือที่อ่อนนิ่มเป็นลิ่มเหล็ก" ข้อคิดข้อเขียนที่ทยอยออกมาแข็งแกร่งกร้าวกร้านด้วยความรู้สึก แม้ถ้อยคำที่
ใช้ก็เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งอุดมการณ์ บทกลอนที่ออกจากป่าจึงมีชีวิตชีวา เช่น..
....จากอ้อมอกมารดามานอนดิ้น
เลือดคลุกดินมารดา ใช่! กล้าแกล้ว
เหนือสุสานลานสละแต่ละแนว
ยังคงแผ่วเสียงพร่าการฆ่าฟัน
ก้อนเมฆขาวคงขุ่นข้องต้องร่ำไห้
แม้ฝนใสไม่อาจล้างได้อย่างฝัน
กลางไฟฟ่องฟองเลือดดินเดือดควัน
ธงแห่งสันติภาพชูอยู่แสนไกล.....
ความจริงงานของ จิระนันท์ พิตรปรีชา มีออกมาหลายชุด แต่ชุด"ใบไม้ที่หายไป"นี่ถือได้ว่า
เป็นชุดอลังการณ์สำหรับเธอทีเดียว ท่านใดที่ยังขาดอยู่ลองเสาะหามาอ่านดู
ชบาบาน:
สมัยที่ยังหนุ่มแน่น ไฟฝันในฉันทลักษ์กำลังรุ่งโรจน์ กระผมติดตามอ่านบทกวีทุกรูปแบบ
แต่ช่วงนั้นวงการกวีอยู่ในยุคของ"เฟื่องการรัก " กลอนที่เกี่ยวกับความรักได้รับความนิยมสูงสุด นัก
กลอนมือดีสลักเสลาบทกลอนออกมามากมาย เกิดกวีมากหน้าหลายตา
มีนักเขียนกลอนอยู่ท่านหนึ่ง กระผมนับถือเป็นอาจารย์ เป็นแม่แบบ ตั้งแต่บัดนั้น จนทุกวันนี้
ท่านนั้นคือ" เจษฎา วิจิตร" ท่านนี้เขียนกลอนรักได้เยี่ยมมาก กระผมหลงใหลเอามากๆ ขอยกเอามาสักบท
ถ้าไม่รักเธอได้จะไม่รัก
จะยอมหักเหใจไปทางอื่น
ถ้าลบวันเก่าเก่าได้จะให้คืน
ทั้งความชื่นความช้ำแล้วอำลา
เมื่อแรกรักปักใจมิได้คิด
ว่าจะผิดจนเป็นข้อครหา
เราต่างทั้งฐานะปริญญา
ต่างจนค่าหัวใจแทบไม่มี
เพราะเธอสูงสุดสอยเหมือนลอยฟ้า
จึงกดค่าความรักสิ้นศักดิ์ศรี
เมื่อรักสอนหัวใจให้ใยดี
ก็เหมือพลีตนเป็นทาสอำนาจเงิน
ด้วยเธอดีมีค่ายิ่งกว่าแก้ว
จึงควรแล้วที่ฉันจะสรรเสริญ
ยอมสละละชั่วไม่มัวเพลิน
คนยังเมินหน้าเยาะว่าเพราะกลัว
รวมความแล้วคุณค่าหาไม่ได้
ทำดีไปคนเขาก็เฝ้าหัว
เลวก็ว่าไม่รู้สึกสำนึกตัว
จึงคนชั่วเกินจะปรับตนกลับคืน
ถ้าไม่รักเธอได้จะไม่รัก
จะยอมหักเหใจไปทางอื่น
แต่ใจเอ๋ยน่าชังรักยั่งยืน
สุดจะขืนหัวใจมิให้รัก!.
กลอนบทนี้ออกมาในราว พ.ศ.๒๕๑๑ แม้เวลาจะล่วงเลยมานานเป็นครึ่งศตวรรษ
แต่เนื้อหาถ้อยคำสำนวนยังทันสมัยอยู่เสมอ นี่คือลีลาของ"เจษฎา วิจิตร" คนที่กระผมเคารพเป็น
อาจารย์ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าท่านยังอยู่ดีหรือไม่ ไม่อาจทราบได้ ท่านใดพอจะรู้ข่าวคราว
เมตตาเขียนเล่ามาบ้าง.
ชบาบาน:
ขอเขียนถึงยอดกวีหญิงอีกท่านหนึ่ง ที่กระผมยอมซูฮกให้เป็นสุดยอดกวีหญิงที่ใช้คำได้
ไพเราะกินใจ คำแต่ละคำที่ใช้มันลึกซึ้งสะท้านทรวงทีเดียว!!
สงสารตาที่ทวงถามความเป็นเพื่อน
รู้ก็เหมือนไม่รู้อยู่ทุกสิ่ง
ยิ่งคิดมากยากเลือนเธอเพื่อนจริง
จึงได้ยิ่งปลีกตนยอมทนทุกข์
ทุกทุกแห่งที่เราเคยก้าวย่าง
ทุกทุกทางที่เราเศร้าและสุข
ทุกทุกหนเราซานซมล้มแล้วลุก
ทุกทุกครั้งที่เราปลุกปลอบแก่กัน
แม้ทั้งหมดจดจำไว้ล้ำลึก
นึกและนึกในใจยังไหวหวั่น
หวาดวันที่จะมาถึงเข้าหนึ่งวัน
วันที่ผันเราพรากจากกันไกล
เดี๋ยวนี้ซ่อนตาเสมอกลัวเธอรู้
ฉันคือผู้มีพิรุธสุดหวั่นไหว
มิอาจเล่าทุกสิ่งจากจริงใจ
มีอะไรอย่างหนึ่งซึ่งปิดบัง
โอ้ว่าเพื่อนจะได้คิดสักนิดไหม
ทุกวันนี้หวั่นไหวเจียนใจคลั่ง
ความรู้สึกหนึ่งแปลกแทรกประดัง
รอแต่ยังจะอ่อนแอพ่ายแพ้ลง
ถ้าวันไหนไผลเผลอให้เธอรู้
ฉันคือผู้สิ้นศักดิ์ลงรักหลง
ความอับอายมานะและทะนง
มันก็คงจะพรากฉันจากเธอ.
จากบทกลอนชื่อ"เพื่อน" ในหนังสือ"เพลงพร"ของ"นิภา บางยี่ขัน"
นักกลอนสาวชั้นแถวหน้าของวงการ
นิภา บางยี่ขัน เขียนบทกวีได้อารมณ์ที่ดื่มด่ำล้ำลึก ใช้คำที่ให้ภาพพจน์ชัดแจ้ง
สอดแทรกวรรคทองไว้มากมาย แต่ที่โด่งดังจนยากจะลืม ผู้คนที่เวียนว่ายในวงวรรณ ต่าง
จดจำผลงานของ นิภา บางยี่ขันบทที่ว่า
ภาพคืนวันพระจันทร์พริ้มน้ำปริ่มเขื่อน
ลงลอยเลื่อนเรือนักรักภาษา
นั่งท้าวแขนบรรสานขานสักวา
ชนะกลอนแพ้ตา..จึงปราชัย
คัดลอกบทนี้จากหนังสือ"นิราศกรุงเก่า" เป็นการรวมบทกวีที่ร่วมกันแต่งของ
นักกลอนร่วมสมัย 48 ท่าน ในการลงเรือเพลงล่องเจ้าพระยา การประพันธ์ในลักษณะนิราศ
พิมพ์ในปี 2528
บทกวีที่ยกมากล่าวถึงนั้นเข้าใจว่าท่าน"นิภา บางยี่ขัน"แต่งร่วมในคราวนั้น และ
เป็นการแต่งแบบถอดใจมาเลย เพราะผู้ร่วมเรือเพลงครั้งนั้นมีท่านหนึ่งได้เป็นผู้ร่วมนาวาชีวิต
กับท่านนิภา บางยี่ขัน ในชีวิตจริง.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version