สัพเพเหระ > เป็นนักเลงกลอนอย่านอนเปล่า
กวีวรรค
ชบาบาน:
กระผมเป็นเด็กบ้านนอก สมัยเด็กประมาณ ม.1 เรียกว่าพออ่านหนังสือแตก
ก็ถูกใช้ให้อ่านหนังสือให้ปู่ย่าแก่ๆฟัง หนังสือที่นำมาอ่านก็จำพวกประเภท
"....บาทขาดราคาเชิญมาซื้อ ร้านหนังสือหน้าวัดเกาะเพราะนักหนา ราษฎร์
เจริญโรงพิมพ์ริมมรรคา เชิญท่านมาซื้ออ่านดูจะรู้ดี......." เป็นหนังสือนิทานคำกลอน
จักร์ๆวงค์ จึงเลยคุ้นเคยกับกลอน นานเข้ามันฝังอยู่ในสายเลือด ทำให้ชอบบท
ร้อยกรองที่เป็นกลอนซึมซับติดตัว
โตขึ้นมาเป็นเด็กม.4-ม.5 ก็ริอ่านเขียนมันเสียเองบ้าง ทั้งร้อยแก้วร้อย
กรอง เขียนเองอ่านเอง เขียนให้เพื่อนอ่านบ้าง หลุดไปถึงครูบ้างบางครา ครูชม
เชยให้กำลังใจ เลยได้ใจส่งไปหนังสือพิมพฺ์สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงการศึกษา เช่น
ชัยพฤกษ์ วิทยาสาร ได้ลงเผยแพร่อยู่บ่อยครั้ง นี่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ฮึกเหิมที่จะเป็น
นักเขียนกลอนกะเขาบ้าง
ไปสมัครเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์เปลื้อง ณ นคร ซึ่งเปิดสอนวิชาการ
ประพันธ์และหนังสือพิมพ์ทางไปรษณีย์ มีผู้สนใจเรียนกันมากแต่จะผ่านจนจบกี่คน
จำไม่ได้ จำได้แต่ตัวเองไม่จบหลักสูตร อาจารย์เปลื้องแกเป็นบรรณาธิการชัยพฤกษ์
อยู่ด้วย มีคอลัมน์สอนร้อยกรองในหน้าชัยพฤกษ์ ใครหัดเขียนกลอนก็ส่งไปลงแล้วอาจารย์
แกจะวิจารณ์ทั้งการใช้คำ การสัมพันธ์ทางฉันทลักษณ์และอักษร จนมีผู้มุมานะเอาจริงเอาจัง
เก่งได้หลายคน
ตั้งใจจะเขียน"กวีวรรค" อันเป็นบทกวีที่กินใจหรือที่ในวงการเขาเรียกกันว่า
"วรรคทอง" แต่กลับมาเรื่อยเจื้อยไม่เข้าเรื่องสักที เอาเป็นอันว่าตอนต่อไปจะเข้าเรื่อง
แล้ว.
ชบาบาน:
บทกวีที่เขียนขึ้นมาโดยนักกวีตั้งแต่โบราณมาแล้ว มักจะมีจุดมุ่งหมายหรือเนื้อ
หาของการเขียนว่าจะเป็นไปในรูปใหน สื่อถึงอะไร เขาขีดเส้นแบ่งเป็นแนวทางใหญ่ๆอยู่
2 อย่างคือ
1.กลุ่มวรรณศิลป์ เป็นการเขียนสื่อถึงความงามของธรรมชาติ ความรักความเพ้อฝัน
2.กลุ่มกวีก้าวหน้า เนื้อหาหรือจุดมุ่งหมายคือการบ้านการเมือง ชนชั้นของสังคมหรือ
เศรษฐกิจ
ก็คล้ายๆกับการแบ่งของวงการเพลง เป็นลุกทุ่ง ลูกกรุงและเพื่อชีวิต
และในแต่ละประเภทก็มีบทร้อยกรองที่ดี เป็นที่จับใจผู้อ่าน สร้างความสะเทือนอารมณ์
อยู่มากมาย อันเป็นส่วนที่ได้รับการเล่าขานยกย่องกันสืบมา ส่วนนี้เขาว่ากันว่าเป็น"วรรคทอง"
ของวงการกวี
วรรคทองมีในทุกประเภทของบทร้อยกรอง ไม่ว่าจะเป็นกลอนรัก หรือกลอนเพื่อชีวิต
ความนิยมชมชอบในวรรคทองก็แล้วแต่ผู้เสพย์รับที่จะเลือก ซึ่งบางวรรคทองยังได้รับความชื่นชมเล่าขาน
หรือนำมาใช้สืบต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย
ธงชาติไทยไกวกวัดสะบัดพริ้ว
แลริ้วริ้วสลับงามเป็นสามสี
ผ้าผืนน้อยบางเบาเพียงเท่านี้
แต่เป็นที่รวมชีวิตและจิตใจ
ชนรุ่นเยาว์ยืนเรียบระเบียบแถว
ดวงตาแน่วนิ่งตรงธงไสว
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย"
ฟังคราวใดเลือดซ่านพล่านทั้งทรวง
ผืนแผ่นดินถิ่นนี้ที่พำนัก
เราแสนรักและแสนจะแหนหวง
แผ่นดินไทยไทยต้องครองทั้งปวง
ชีพไม่ล่วงใครอย่าล้ำมาย่ำยี
เธอร้องเพลงชาติไทยมั่นใจเหลือ
พลีชีพเพื่อชาติที่รักทรงศักดิ์ศรี
เพลงกระหึ่มก้องฟ้าก้องธาตรี
แม้ไพรีได้ฟังยังถอนใจ
แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไทยร้าวใจเหลือ
คือเลือดเนื้อเป็นหนอนคอยบ่อนไส้
บ้างหากินบนน้ำตาประชาไทย
บ้างฝักไฝ่ลัทธิชั่วน่ากลัวเกรง
ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง
แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง
จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง!
จากบทกวีชื่อ"เพลงชาติ" ของ รศ.นภาลัย (ฤกษ์ชนะ)สุวรรณธาดา คัดลอกมาจากหนังสือ
ดอกไม้ใกล้หมอน ในบทสุดท้ายที่ว่า"...ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง...."จนถึง"...จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง"
เป็นวลีที่กินใจเร้าอารมณ์อย่างยิ่ง สื่อต่างๆนำมายกเป็นอุทาหรณ์หลายสิบปีมาแล้ว จนกระทั่งทุกวัน
นี้ความหมายนี้ก็ยังเหมาะกับยุคสมัย นี่คือวรรคทองขอรับ .
รุ่นโบราณ:
วรรคทองที่ประทับในความทรงจำจนเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งกลอนของผมในทุกวันนี้ ส่วนใหญ๋เป็นวรรคทองที่คุ้นหูผู้นิยมโคลงฉันท์กาพย์กลอนทุกคน และส่วนมากเป็นบทประพันธ์ของบรมครู"สุนทรภู่" มาจากทั้งในวรรณคดี นิราศ ต่างๆอาทิ
....แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน(จากพระอภัยมณี ตอนสุดสาคร)
จะเห็นว่านอกจากสัมผัสนอกสัมผัสในแพรวพราวสร้างความไพเราะโดดเด่นในบทประพันธ์แล้ว ยังมีความหมายมีการเปรียบเทียบอันลึกซึ้งถึงสัจจธรรมอันทำให้บทประพันธ์ทรงคุณค่า บทกวี"ชาติไทย" ที่คุณชบาบานนำมากล่าวถึงก็เป็นอีกบทที่ตราตรึงในความทรงจำเพราะนอกจากความไพเราะเพราะพริ้งในผลงานแล้ว ยังเป็นงานศิลปที่สร้างอารมณ์กระทบใจอย่างรุนแรงจนเลือดรักชาติพุ่งพล่านสมเจตนารมณ์ผู้ประพันธ์ สมควรประทับเป็นวรรคทองในดวงใจและนำไปเป็นแบบอย่างครับ
ขอบคุณที่นำเสนอบทความดีๆครับ
ชบาบาน:
กราบขอบพระคุุณท่าน"รุ่นโบราณ" ที่เข้ามาแจมด้วย กราบเรียนเชื้อเชิญท่านอื่นๆด้วยนะขอรับ อ่านกลอนกันไป เขียนอะไรกันไปตามประสาคอร้อยกรอง มีอะไรจะคุยกันเล่าถึงกันได้
ก็ว่ามา(ในเรื่องบทกลอน) ท่านรุ่นโบราณก็มีอะไรต่อมิอะไรมากมาย เขียนสู่กันอ่านเถิดขอรับ สำหรับ"วรรคทอง"ยังมีอีกยืดยาว ขอให้ติดตามกันต่อไปนะขอรับกระผม
แม็ท:
ด้วยสงสัย ในวจี กวีวรรค
พึ่งประจักษ์ กาพย์ โคลง กลอน วอนสืบสาน
ขอขอบคุณ คุณลุง 'ชบาบาน'
รวมทั้งท่าน 'รุ่นโบราณ' สานต่อเติม
วอนมวลมิตร พี่น้อง ทั้งผองเพื่อน
ไม่ลืมเลือน เตือน,ชี้แจง แต่งมาเสริม
ร้อยอักษร กาพย์กลอนไว้ ให้เมือนเดิม
ช่วยกันเพิ่ม เติมแต่ง มาแบ่งปัน
เนื่องข้าฯน้อย ด้อยวาจา ภาษาศิลป์
พึ่งหัดบิน เรียงภาษา มาสร้างสรรค์
มาฝากชาว 'เพลงพักใจ' ให้รู้กัน
ฝากไว้ก่อน แค่สั้นสั้น สามบทเอย
ขอคารวะครับท่านคุณลุง ชบาบาน ผมเองก็ไม่ค่อยรู้ลึกมากนัก เกี่ยวกับ กาพย์ กลอน แต่ก็พอมาอ่านที่คุณลุงอธิบายไว้ ถึงได้เข้าใจ ก็ขอฝากท่านอื่นๆด้วยนะครับที่พอจะแต่งบทกลอน บทประพันธ์กันได้ ก็มาลองแบ่งปันๆกันครับ จะได้มีอ่านกันเรื่อยๆ ขอบคุณครับ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version