ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องยากของพุทธศาสนา ข้อความจากพี่ศศิวรรณ  (อ่าน 2736 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ประสิทธิ์

  • Administrator
  • *
  • ออฟไลน์
  • 6177
    9863
  • เพศ: ชาย
    • เพลงพักใจดอทเนต


เรื่องยากของพุทธศาสนา คือ เรื่องสุญญตา, ไม่มีคน

นี้คือ เรื่องยากของพุทธศาสนา ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ที่มันยากถึงขนาด
ที่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ก็ทรงลังเลว่า จะสอนดีหรือไม่สอนดี เพราะเรื่อง
นี้ มันลึกเกินไป. ครั้งแรก ก็ทรงน้อมพระทัย ไปในทางที่ว่า ไม่สอน มันยากเกิน
... ไป; แต่ความลังเล ยังมีอยู่ แล้วความกรุณา มันมาช่วยสมทบ พระพุทธเจ้า ท่าน
จึง กลับพระทัยใหม่ ว่า เอ้า, สอน เผื่อว่า คนบางคนจะเข้าใจได้.

ถ้าไม่ทรงสอน คนบางคนนั่นแหละ จะสูญเสียประโยชน์ ที่ควรจะได้รับ; ฉะนั้น
จึงทรงสอน เรื่องหัวใจของธรรมะ คือ เรื่องไม่มีคน ที่เรียกว่า เรื่องอนัตตา หรือ
เรื่องสุญญตา : มีแต่ธรรมชาติ ล้วนๆ เป็นไปตาม ธรรมชาติ. ถ้าในนั้น เกิดความ
รู้สึกที่ถูกต้อง ก็ไม่มีทุกข์, ถ้าในนั้น เกิดความรู้สึก ที่ไม่ถูกต้อง ในธรรมชาตินั้น
ก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมา; ไม่ต้องเอามาจากไหน เอามาจากภายใน ในตัวธรรมชาตินั้น
เพราะฉะนั้น อะไรๆ มันจึง มารวมอยู่ในคน ในสิ่งที่เรียกว่า คนนี้, ปัญหาต่างๆ
มันมารวม อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า คน.

ทีนี้ คำว่า "คน" ในภาษาธรรมดา เราก็หมายถึงคนๆหนึ่ง มีกาย กับใจ เป็นคน
หนึ่ง; แต่ในภาษาธรรมะ อันลึกซึ้ง คำว่า "คน" หมายถึง ความโง่. ความยึดมั่น
สำคัญผิดว่า ฉัน ว่าคน คนคือผลิตผลของมิจฉาทิฎฐิ, หรือว่า ความเห็น ที่ยัง
ไม่ตรง เข้าใจว่าเราเป็นคน นี่อย่าเอาไปปนกัน คนในฝ่ายฟิสิคส์ หมายถึงร่างกาย
ที่ยาววาหนึ่งนี้ มีความคิดนึกได้นี้; แต่คนทางฝ่าย spiritualism หมายถึงความ
เข้าใจผิด ที่เรียกว่า อุปาทาน ว่า มีตัวฉัน มีคน นั้นเป็นมายา อย่างยิ่งเลย แต่ใคร
จะไปรู้ว่า มันเป็นมายา; เพราะว่า เมื่อจิตนี้ถือเสียว่า ฉันเป็นคน แล้วมันก็ว่า เป็น
ของจริง เป็นของจริงของจิต ที่กำลังไม่รู้อะไร.

ทีนี้ มันก็เกิดมี ๒ คนขึ้นมา: คนทางร่างกาย และคนทางมิจฉาทิฎฐิ หรืออุปาทาน.
สำหรับคนทางมิจฉาทิฎฐิ หรือ อุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวตนนี้ ก็เห็นชัดอยู่แล้ว
พูดชัดอยู่แล้วว่ามันเป็นอวิชชา ความโง่ ความเข้าใจผิด ความหลง ความลวง ของ
อวิชชา โดยไม่รู้สึกตัว.

ตัวคนฝ่ายฟิสิกส์ นี้ คือ ตัวตนที่มีร่างกายเป็นคน มีความรู้สึกคิดนึก อยู่ในนั้นได้
นี้มันก็เป็นคน; เราถือว่า คนมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริง ก็แล้วแต่ สติปัญญา เหมือน
กัน ตามปกติ เราต้องถือว่า มีอยู่จริง; แต่ว่าสิ่งนั้น มันจะควรเรียกว่า คน หรือ ไม่
ควรเรียกว่า คน นั้น มันอีกเรื่องหนึ่ง. ภาษาธรรมดา เขาถือว่า มันต้องเรียกว่า คน
เพราะว่า พูดกันมา ตั้งแต่เกิดมา ก็ต้องเรียกว่า คน; ถ้าไม่อย่างนั้น จะพูดกันไม่รู้
เรื่อง จะฟังกันไม่รู้เรื่อง ในภาษาพูด ตัวร่างกาย ที่ยาววาหนึ่งนี้ มีความรู้สึก คิด
นึกได้นี้ คือ คน ในฝ่ายฟิสิกส์.

แต่แล้วความรู้สึก คิดนึกได้ ที่มีอยู่ในคน ฝ่ายฟิสิกส์นี้ จะเป็นต้นเหตุ ของความมี
คน ในส่วนที่มันเป็นปัญหา เป็นปัญหาทางศาสนา: เพราะว่า ถ้าความรู้สึกอันนั้น
เดินไปถึงขนาด มีความยึดมั่น ถือมั่นแล้ว จะมีความทุกข์ขึ้น ในคนนั้นแหละ ใน
ร่างกาย ที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้. ถ้าไม่มีความเห็นผิดเกิดขึ้น ในร่างกายที่ยาววา
หนึ่งนั้น ก็ยังไม่มีความทุกข์ หรือมีความไม่มีทุกข์อยู่.

เดี๋ยวก็มีความทุกข์ เดี๋ยวก็มีความไม่มีทุกข์ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้; แล้วมูลเหตุ
ที่เป็นอย่างนั้น คือ มูลเหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นก็มีอยู่ในนั้น หรือสติปัญญา ที่จะทำให้
ไม่ทุกข์ มันก็มีอยู่ในนั้น รู้จักควบคุมให้ได้ รู้จักแยกกันให้ได้ เอาแต่ฝ่ายที่มันจะ
ไม่เกิดความทุกข์ ก็แล้วกัน, อะไรๆ ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ เอาแต่ฝ่ายที่ไม่เกิด
ความทุกข์


+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=13222
สมาชิกใหม่..ก่อนตั้งกระทู้แนะนำตัวให้ดูตัวอย่าง.แล้วไปอ่านประกาศการใช้งานบอร์ดและห้องโหลดเพลง เมื่ออ่านเข้าใจแล้วก็ตอบรับทราบทั้ง 2 กระทู้1.ห้ามเด็ดขาดการใช้เพียงอีโมตอบกระทู้เพื่อโหลดเพลง.2.ห้ามตอบเพียงขอบคุณครับ/ค่ะ โหลดเพลง 5:1 อ่านให้เข้าใจด้วย

ออฟไลน์ โชค นรา

  • ผู้ช่วยแอตมิน
  • *******
  • ออฟไลน์
  • 2174
    858

มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ มันลึกมาก คนปัญญาตื้นๆ อย่างผม ต้องค้นหาความจริงอีกนาน เพราะผมยังเวียนวนอยู่กับความ "อยาก" ไม่รู้จบ
ขอบคุณครับหลวงที่นำ ข้อความดี ๆ มาให้ ทำให้ผมต้องทบทวนตัวเองอีกแหระ ..  :'e:56 ...
ขอบคุณครับ ..  :'e:92

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=13222

ออฟไลน์ ภูแมว

  • MOD
  • *
  • ออฟไลน์
  • 1814
    546

แสดงว่า มิจฉาทิฐิ คือ อุปาทาน ใช่ไหมคะ คือนึกคิดนึกฝันเอาเองไม่มีตัวตนหรือเปล่าคะ ใครรู้ช่วยอธิบายต่อหน่อยค่ะเคยได้ยินคำนี้อ่ะค่ะแต่เข้าใจว่าิมิจฉาทีแรกเหมือนคำว่า มิจฉาชีพ
ทิฐิ เหมือนเป็นอะไรที่ยึดมั่น ยึดถือว่าจะทำอย่างนั้นอ่ะค่ะใช่ไหมคะ
แล้วเอามารวมกันเลยพา งง น่ะค่ะ

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=13222