ผู้เขียน หัวข้อ: ใจไม่เคยตาย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน  (อ่าน 2029 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มหาร้อยวัด

  • มืออาชีพ
  • **
  • ออฟไลน์
  • 102
    46
  • เพศ: ชาย


ใจไม่เคยตาย


เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘


ศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล ตั้งแต่พื้นแห่งความดีทั้งหลายจนกระทั่งถึงความดีอันสุดยอด ออกจากศาสนาที่กลั่นกรองคนให้เป็นคนดีเป็นลำดับลำดาไป ศาสนาพุทธนี้จึงเป็นศาสนาที่ชาวพุทธเราไม่ควรให้พลาดไปจะเสียใจในภายหลัง เพราะเป็นศาสนาที่เลิศเลอที่สุด เราไม่เหยียบย่ำทำลายศาสนาใด เราเอาหลักความจริงมาพูด ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสแล้ว คำว่าสิ้นกิเลสกับมีกิเลสเป็นอย่างไร คนมีกิเลสก็เหมือนคนหูหนวกตาบอด อวัยวะใช้อะไรไม่ได้สมบูรณ์แหละ ส่วนศาสนาพุทธเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส คำว่าสิ้นกิเลสคือหูแจ้งตาสว่าง หูนอกตาในสว่างกระจ่างแจ้งทุกอย่าง นำธรรมที่ทรงรู้ทรงเห็นด้วยความสว่างกระจ่างแจ้งแล้วนั้นมาสั่งสอนสัตว์โลก จึงไม่มีผิดมีพลาด

ว่านรกก็ดีว่าสวรรค์ก็ดี ว่าบาปว่าบุญก็ดี ว่าพรหมโลกนิพพานก็ดี ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ดั้งเดิม ธรรมชาติเหล่านี้ไม่มีใครทำลายได้ ไม่มีใครมีอำนาจจะทำลายให้สูญสิ้นไปได้ ย่อมมีมาดั้งเดิม แล้วสัตว์โลกทั้งหลายก็เกี่ยวข้องอยู่เป็นประจำ ผู้ทำบาปก็ไปนรก ผู้ทำบุญก็ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน คำว่านรกก็มีหลายหลุมหลายบ่อ นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับสัตว์โลกมาตลอด เมื่อสัตว์โลกยังมีการทำกรรมดีกรรมชั่วอยู่ตราบใดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ต้องมีอยู่ประจำโลกตราบนั้นไม่มีสูญสิ้นไปที่ไหน ให้พากันเข้าใจ

คำพูดของพระพุทธเจ้าไม่เคยมีสอง มีคำเดียวเท่านั้นคือจริงอย่างเดียว ท่านให้นามว่า เอกนามกึ คือหนึ่งไม่มีสอง ได้แก่พระวาจาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสออกแล้วเป็นอย่างที่ตรัสทุกอย่าง และพระญาณหยั่งทราบอะไรแล้วไม่มีสอง หยั่งทราบอย่างไรแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ก็เรียกว่า เอกนามกึ คือ หนึ่งไม่มีสอง พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่อุบัติขึ้นมานี้ไม่มีคู่เคียง เพราะอุบัติยาก อุบัติขึ้นมาแต่ละครั้งนี้มีเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ดังพระพุทธเจ้าของเราตรัสรู้ขึ้นมานี้ก็มีพระองค์เดียว หลังจากนั้นแล้วก็จะมี พระอริยเมตไตรย มาตรัสรู้ลำดับที่สองในภัทรกัปนี้ ซึ่งมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ หมดนี้แล้วก็เป็นกัปอื่นต่อไปอีก

คำว่ากัปว่ากัลป์นั้นความยืดยาวนานนี้หาประมาณไม่ได้ ท่านจึงเรียกว่ากัปว่ากัลป์ มีกัป มีภัทรกัป มีมหาภัทรกัป มีหลายกัป กัปใหญ่กัปน้อยมีหลายกัป แต่ละกัปนี้เหมือนกับเป็นดอน ๆ ในท้องมหาสมุทรนั้นแหละ เกาะดอนอยู่ตามท้องมหาสมุทร นี่พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้จากกัปนั้น ๆ ก็เหมือนกันเช่นนั้น แต่ละกัป ๆ นี้ยืดยาวนาน ที่สัตว์โลกทั้งหลายจะเห็นศาสนา คือ กัปนี้หมดไปแล้วก็เรียกว่าเป็นสุญญกัป ระหว่างกัปนี้กับกัปต่อไปนั้นเป็นสุญญกัปว่างเปล่าไม่มีศาสนา มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้เต็มโลกดินแดนทั่วไปหมด เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เมื่อไรก็มีน้ำดับไฟมาพร้อม ๆ เช่นภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ มาตรัสรู้ไปแล้ว ๔ พระองค์แล้วเวลานี้ยังเหลืออยู่พระองค์เดียว นี่ก็เรียกว่าภัทรกัป

ระหว่างพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ นั้นท่านเรียกว่าพุทธันดร คือระหว่างพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ๆ เชื่อมกัน ระหว่างนั้นแหละท่านเรียกพุทธันดร ระหว่างแห่งพระพุทธเจ้า จากกัปนี้ไปสู่กัปนั้นไม่มีศาสนาเลย ว่างเปล่า ท่านเรียกว่าสุญญกัป ใครเกิดในระหว่างสุญญกัปนี้แล้วเป็นอันว่าจมทีเดียว ถ้ากรรมชั่วที่สุดแล้วจะไปเกิดในระหว่างสุญญกัปนี่ คือกัปนั้นกับกัปนี้ต่อกันเป็นสุญญกัป ไม่มีคำว่าบุญว่าบาป ไม่มีคำสั่งสอน มีแต่กิเลสเต็มโลกธาตุนี้ แน่นไปหมดตั้งแต่กิเลสซึ่งก่อฟืนก่อไฟเผาสัตว์โลกให้ได้รับความเดือดร้อนระส่ำระสาย

มองเห็นกันอย่างนี้มีแต่จะกัดจะฉีก กัดฉีกกันกิน ตามหนังสือท่านแสดงเอาไว้ว่าหมดบาปหมดบุญหมดหิริโอตตัปปะหมดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ชื่อว่าธรรมแล้วไม่มีในใจของสัตว์เหล่านั้น มีแต่กัดแต่ฉีกโหดร้ายทารุณ ผู้ตกนรกก็ตก ผู้ไม่ตกนรกอยู่ข้างบนนรกนี้ก็เป็นอีกนรกหลุมหนึ่ง กัดฉีกกันกิน ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่รู้ผิดรู้ถูก คำว่าความเป็นธรรมไม่มีในสุญญกัปนั้น ถ้าใครไปเกิดในสุญญกัปนี้แล้วก็เรียกว่ากรรมหนาที่สุด เราให้ระวังอย่าให้ได้ไปเกิดในสุญญกัป

เวลานี้มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ประหนึ่งว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ด้วยพระโอวาทคำสั่งสอนที่ยังอยู่ แนะนำสั่งสอนพวกเราอยู่เวลานี้แทนพระพุทธเจ้า เราได้เกิดพบกัปนี้กัปพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นี้นับว่าเป็นบุญลาภของเรา อย่าปล่อยเวล่ำเวลาให้เสียไปจะเสียประโยชน์เปล่า ๆ ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์อันใด มีแต่ความรุ่มร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้คนทำชั่วช้าลามกต่าง ๆ ไม่มีประมาณ ความชั่วก็ไม่มีประมาณ ความทุกข์ก็ไม่มีประมาณเผาให้เดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงพากันให้ระมัดระวัง

เราอย่าไปตื่นโลกกิเลส เวลานี้โลกกิเลสกำลังหนาแน่นวุ่นวายเต็มไปหมดทั้งบ้านทั้งเมือง ไปในแง่ใดมุมใดมีแต่การต้มตุ๋นหลอกลวงทั้งนั้นไม่มีของจริงเลย มีแต่ของปลอมหลอกลวงกันเต็มบ้านเต็มเมือง นี่ละกลมายาของกิเลส ผู้ที่หลงกลมันก็หลงไปตาม เพลิดเพลินไปตาม ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปตามจนลืมเนื้อลืมตัว ทำความชั่วช้าลามกจนเสียคนก็มีมากมายก่ายกอง เพราะหลงกลมายาของกิเลส ให้เราทั้งหลายจำเอาไว้ ระมัดระวังตัวให้ดี

ธรรมของพระพุทธเจ้าเครื่องป้องกันตัวมีอยู่ เหมือนยาประจำบ้านมี ให้รักษาตัวให้ดี ความชั่วปราชญ์ทั้งหลายตำหนิติเตียนทั้งนั้นอย่าไปหาญทำ ความชั่วไม่ว่าจะเป็นทางกายทางวาจาทางใจก็ตาม คิดออกมาความชั่วให้รีบระงับดับทันที อย่าปล่อยให้คิดลุกลามไปจะเสียตัวของเราเอง นี่ท่านเรียกว่ารักษาตัวให้รักษาอย่างนี้

ตื่นตามาเช้าให้กราบพระสวดมนต์ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไปทำหน้าที่การงานอะไรก็ตาม กิเลสมันทำงานตลอดเวลา คิดได้ทุกอย่างกิเลสไม่มีขอบเขตไม่มีเหตุมีผล ธรรมก็ต้องคิดแนบกันไปนั่นซิ กิเลสมันคิดได้ทำได้ ธรรมก็ต้องคิดได้ทำได้เหมือนกัน ทำหน้าที่การงานระลึกถึงคุณธรรม คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ภายในจิตใจเสมออย่าได้ปล่อยได้วาง นี่ชื่อว่าสร้างความดีอยู่ในอิริยาบถนั้น ๆ คือการยืนการเดินการนั่งการนอนมีความพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอยู่โดยสม่ำเสมอ การกระทำของเราทำชั่วมันทำได้ทั้งนั้นแหละ ทำดีก็ต้องทำได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องให้เอาความดีเข้าไปแทน

ร่างกายของเรานี้ได้มาจากบุญจากกุศล ครั้นได้มาแล้วกิเลสเอาไปถลุงเสียหมด เป็นเครื่องมือของกิเลสนี่ใช้ไม่ได้เลย ให้เป็นเครื่องมือของธรรม เช่นอย่างเราพามาวัดอย่างนี้ เป็นเครื่องมือของธรรม พาทำบุญใส่บาตร อันนี้ก็เป็นเครื่องมือของธรรม พาไหว้พระสวดมนต์ก็เป็นเครื่องมือของธรรม พาทำคุณงามความดีประเภทใดก็ตาม เรียกว่าร่างกายนี้เป็นเครื่องมือของธรรมทั้งนั้น ถ้าพาไปทำความชั่วก็เป็นเครื่องมือของกิเลส ทำลงไปแล้วก็กลับมาเผาไหม้เรานั่นแหละ ที่นี่การทำความดีด้วยเครื่องมือคือร่างกายอันนี้ เวลาทำเสร็จลงไปแล้วเป็นความดีมาหนุนตัวของเราให้ได้รับความสุขความเจริญ เพราะฉะนั้นจึงให้ร่างกายของเราเป็นเครื่องมือในทางที่ดีโดยสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้กิเลสเอาไปถลุงเสียหมดจะเสียผู้เสียคน

วันหนึ่ง ๆ เราอย่าลืมการทำบุญให้ทาน อันนี้ให้เป็นสมบัติของใจเราเป็นประจำ ร่างกายก็วิ่งเต้นขวนขวาย หามาเพื่ออยู่เพื่อกินเพื่อหลับเพื่อนอนใช้สอยต่าง ๆ มีความจำเป็นอยู่อย่างนั้น ก็ต้องวิ่งเต้นขวนขวาย ส่วนทางด้านจิตใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ด้วยคุณงามความดีทั้งหลายก็ให้สร้างให้ ข้างนอกก็ให้ชุ่มเย็น มองไปข้างนอกเงินทองข้าวของกองสมบัติเต็มบ้านเต็มเมือง มีแต่สมบัติของเราหมดก็เป็นความชุ่มเย็นใจ มองเข้ามาภายในการทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนาเราก็ได้ทำเต็มสติกำลังความสามารถของเรา มองดูภายในใจก็ชุ่มเย็นใจ คนคนนั้นพร้อมแล้ว อยู่ก็พร้อมไปก็พร้อม มีแต่ความสุขความเจริญ นี่การสร้างความดีให้สม่ำเสมอ

ร่างกายเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งก็หามาเยียวยารักษา จิตใจมีความจำเป็นอย่างหนึ่งก็หามาเยียวยารักษาอย่าปล่อยอย่าวาง ใจเป็นของสำคัญมาก มากจริง ๆ มากกว่าร่างกายไม่รู้กี่ร้อยเท่าพันทวี แต่ส่วนมากโลกมองข้ามใจนั้นเสีย โดยถือว่าใจนี้เป็นกาย กายเป็นใจไปเสียหมด ความจริงใจเป็นใจ ร่างกายเป็นเครื่องมือเท่านั้น ใจมาอาศัยปฏิสนธิวิญญาณถือยึดเป็นเจ้าของแล้วก็ว่าเป็นสมบัติของกาย สุดท้ายกายนี้ก็เลยกลายมาเป็นคนไป ว่าเป็นเราเป็นของเราไปเสียหมด ความจริงร่างกายนี้เป็นเครื่องมือเท่านั้น เราจะเห็นได้ชัดก็คือนักภาวนา จะเห็นสิ่งนี้ได้ชัด นอกจากนั้นไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าร่างกายกับใจนี้ต่างกันหรือไม่ หรือเป็นอันเดียวกัน นักภาวนาจะรู้ได้เป็นอย่างดี

เวลาจิตสงบเข้าไปจะเป็นเกาะ เหมือนกับเกาะอยู่ในท้องมหาสมุทรนั่นแหละ มองไปกี่เกาะเราเห็นชัด อันนี้เหมือนกันจิตของเราเป็นจุดแห่งความสงบเย็นใจ และเป็นจุดที่รู้ ๆ อยู่ในท่ามกลางร่างกายของเรานี้ นี่คือใจ นอกจากนั้นเป็นส่วนร่างกาย เทียบกับแม่น้ำมหาสมุทรทะเล ใจอยู่ย่านกลางนี้เรียกว่าเป็นเกาะ นี่ละหลักธรรมชาติแท้ ท่านสอนก็สอนที่ตรงนี้เพื่อใจได้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงตัวในทางที่ถูกที่ดี และสั่งสมความดีขึ้นมาใส่ตัวเองแล้วก็เป็นความสุขความเจริญ ต่อไปจิตก็มีความสงบ มีความผ่องใส มีความแกล้วกล้าสามารถในทางที่ดีขึ้นไปโดยลำดับ ใจก็สง่างามภายในใจ อยู่ที่ไหนสง่าอยู่ภายในใจ รู้อยู่นั้น นั่นเรียกว่ารู้ใจ นี่ใจเป็นหนึ่งต่างหาก

ร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วยก็ตามแต่ใจไม่เจ็บ ใจไม่ป่วย ใจไม่ไข้ ใจไม่เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ก็รู้ว่าเป็นทุกข์แต่ไม่ซึมซาบถึงใจ ใจมีความสุขความสงบเย็นอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่าใจเป็นใจ กายเป็นกายไม่คละเคล้ากัน พวกเรานี่อะไร เอะอะก็มีแต่เจ็บหมดนั่นแหละ อะไรก็เรา ๆ เข้าไปยึดหมด แบกหามท่านว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนักให้เราแบกเราหามเรายึดเราถือ เราสงวนว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็เกิดความทุกข์ความลำบากมากขึ้นโดยลำดับลำดา

ภูเขาทั้งลูกหนักขนาดไหนไม่มีใครไปแบกไปหาม เขาก็ไม่รู้ว่าเขาหนัก แต่ร่างกายนี้แบกหามด้วยกันทุกคน ด้วยความรับผิดชอบ ด้วยความยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราด้วยจึงหนักมาก ท่านเรียกว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา อันนี้เป็นสิ่งหนักมาก นี่เป็นอันหนึ่งต่างหากจากใจ ใจคือความรู้ ร่างกายไม่รู้ ความรู้ของใจนี้ซ่านออกไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ไปตามประสาทส่วนต่าง ๆ ประสาทส่วนนี้สำหรับรู้นั้นสำหรับรู้นี้ ประสาทส่วนนั้นสำหรับรู้สิ่งนั้น เช่น ประสาททางตาก็สำหรับดูรูป ประสาททางหูสำหรับฟังเสียง ประสาททางจมูกสำหรับดมกลิ่น ประสาททางลิ้นสำหรับลิ้มรส ประสาททางกายสำหรับรับความเย็นร้อนอ่อนแข็ง นี่ออกไปจากใจ

ความรู้ของใจนั่นแหละส่งกระแสออกไปในประสาทส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้นร่างกายจึงรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ พอจิตใจหดตัวเข้ามาเสียร่างกายก็เป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไรเลย เมื่อกระแสของจิตคือความรู้นี้สงบเข้ามาสู่ตัวของตัวคือใจนั้นเสีย ร่างกายก็ไม่มีความหมายอะไร เหมือนท่อนฟืน เพราะฉะนั้นจึงว่าเป็นคนละอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ร่างกายเป็นอย่างหนึ่ง จิตใจเป็นอย่างหนึ่ง

จึงต้องสั่งสมคุณงามความดีเข้าสู่ใจ เพื่อใจได้สั่งสมตัวเองด้วยอำนาจแห่งความดีทั้งหลายแล้วก็จะเป็นสุขเจริญรุ่งเรืองโดยลำดับลำดา เวลาตายแล้วไปสวรรค์ก็ไปได้ ไปนิพพานก็ไปได้ แต่ร่างกายนี้ไปไม่ได้ พอตายแล้วก็ทิ้งเท่านั้นแหละ จะฝังก็ฝัง ไม่ฝังจะเผาก็เผา ไม่เผาก็ทิ้งเกลื่อนอยู่ตามแผ่นดิน ไม่ไปสวรรค์นิพพานที่ไหนได้ ไม่เหมือนใจ ใจนี้ไปได้นะ ไปได้ถึงนิพพานทีเดียว ใจนี้เป็นของไม่ตายไม่เคยตาย เพราะฉะนั้นจงพากันให้อบรมจิตใจของเราให้ดี ว่าใจเป็นอันหนึ่งต่างหาก ร่างกายเป็นอย่างหนึ่งต่างหาก แต่อาศัยกันอยู่เพียงเท่านั้น วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละเหนื่อย เทศน์ทุกวัน ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายจดจำเอาไปประพฤติปฏิบัติตัว ดัดแปลงตัวเองให้ดี

อยู่ที่ไหน ๆ ให้มีธรรมให้มีวินัย วินัยแปลว่าเครื่องกำจัดความชั่ว ธรรมเป็นเครื่องทรงไว้ซึ่งความสุขความเจริญภายในจิตใจ ให้เรามีธรรมในวันหนึ่ง ๆ ไปถึงบ้านถึงเรือนแล้วก็อบรมลูกหลานให้เขารู้จักศีลจักธรรมตั้งแต่เล็กแต่น้อย โตขึ้นมาก็เด็กนี้แหละจะเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม ถ้าผู้ใหญ่ไม่แนะนำสั่งสอนเขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวจะทำยังไง แล้วกลายเป็นเด็กเสีย กลายเป็นผู้ใหญ่เสียไปตาม ๆ กันหมด บ้านเมืองทั้งบ้านทั้งเมืองเลยกลายมีแต่คนต่ำช้าเลวทรามใช้ไม่ได้เลย ให้สั่งสอนลูกเต้าหลานเหลนของเราให้รู้จักศีลจักธรรมเป็นต้นไปตั้งแต่บัดนี้

คัดลอกจาก Luangta.Com -
__________________ :'e:31

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=13737

ออฟไลน์ ชบาบาน

  • VIP
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 579
    486
  • เพศ: ชาย
  • แม้สองเท้าติดตมจมโคลนอยู่ แต่ตายังเงยดูดวงดาวได้
    • อีเมล์
Re: ใจไม่เคยตาย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 27/พ.ค./13 09:07น. »

เทศน์ดีๆของหลวงตา  ถ้าตั้งใจที่จะฟัง ตั้งใจที่จะอ่าน  พร้อมขบคิดไปด้วยจะได้รู้ได้เข้าใจความเป็นไปของวัฏจักร์แลสรรพสิ่ง
อันจริงแท้  พระอริยสงฆ์อย่างหลวงตาให้ทั้งทางโลกและทางธรรม  ขอบคุณท่านมหา ขอรับ

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=13737

ออฟไลน์ เก๊ะ

  • มือสมัครเล่น
  • **
  • ออฟไลน์
  • 3
    2
Re: ใจไม่เคยตาย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 20/ก.ย./13 16:48น. »

ขอบคุณครับนำเทศน์หลวงตามาลง
พระอรหันต์เทศน์ให้ฟัง ใครผ่านเข้ามาอ่าน จับได้มากน้อยเท่าไรก็เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=13737