ผู้เขียน หัวข้อ: จะ"เค็ม'ไปถึงไหน  (อ่าน 3022 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออนไลน์ ประสิทธิ์

  • Administrator
  • *
  • ออนไลน์
  • 6177
    9863
  • เพศ: ชาย
    • เพลงพักใจดอทเนต
จะ"เค็ม'ไปถึงไหน
« เมื่อ: 11/พ.ค./13 14:34น. »



จะ"เค็ม'ไปถึงไหน

คนไทยป่วยโรคไตปีละ 1 หมื่นคน แนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะพฤติกรรมการกินเค็มมากขึ้น และดื่มน้ำไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการคนไทยป่วยโรคไตปีละ 1 หมื่นคน แนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะพฤติกรรมการกินเค็มมากขึ้น และดื่มน้ำไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ

พญ.จรรยาพร ตั้งประเสริฐ อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลหัวเฉียว ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไตว่า โรคไตคือโรคที่เกิดจากการทำงานของไตลดลง ทำให้การขจัดของเสียและความสมดุลของเกลือแร่ ฮอร์โมนในร่างกายบกพร่องไป ซึ่งผู้ป่วยบางรายก็จะมีอาการบ่งชี้ แต่บางรายกว่าจะแสดงอาการของโรคออกมาก็เข้าสู่ระยะรุนแรง

ปัจจุบันคนไทยกำลังมีผู้ป่วยโรคไตเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โรคไตเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องใช้เวลาในการดูแลรักษาที่ยาวนาน ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่องตลอดทั้งชีวิต อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายที่สูง โดยเฉพาะผู้ป่วยในระยะไตเสื่อมเรื้อรังระยะสุดท้าย จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย คือ การล้างช่องท้องด้วยน้ำยาพิเศษ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และวิธีรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนไต ซึ่งล้วนแต่เป็นการรักษาที่มีราคาสูงและอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา

ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของโรคไตนั้น ประกอบด้วย โรคกรรมพันธุ์ เช่น ถุงน้ำในไต โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคที่ไม่ใช่ทางกรรมพันธุ์ เช่น นิ่วในไต การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคลายเส้นแก้ปวดต่าง ๆ สำหรับอาการของโรคไตเสื่อมเรื้อรังนั้น ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ปัสสาวะมีเลือดปนหรือเป็นฟอง ปัสสาวะสะดุดหรือมีก้อนนิ่วปนออกมา หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการบวมของใบหน้าหรือขาทั้ง 2 ข้าง เมื่อการทำงานของไตเสียไปเกือบหมด หรือเข้าสู่ช่วงระยะรุนแรง อาการต่างๆ จะรุนแรงมากขึ้น เช่น คลื่นไส้อาเจียน ซึมลงจนไม่รู้สึกตัวหรือเสียชีวิต

ด้านนาวาอากาศเอก นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หน้าที่สำคัญของไตคือการควบคุมระดับของโซเดียมในร่างกาย โซเดียมจะช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย ทำให้การทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อเป็นปกติ โดยโซเดียมที่ร่างกายได้รับร้อยละ 90-95 มาจากอาหารที่บริโภค ทั้งพืชและเนื้อสัตว์ รวมทั้งเครื่องปรุงรสเค็ม และอาหารที่มีส่วนประกอบของโซเดียม เช่น ผงชูรส ผงปรุงรส ผงฟู โดยค่ามาตรฐานใน 1 วันร่างกายต้องการไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวันหรือเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา

แต่จากการสำรวจครั้งล่าสุดในปี 2550 พบว่าคนไทยบริโภคเกลือหรือโซเดียมเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดถึง 2 เท่า การกินเค็มจัดเช่นนี้ จะทำให้ไตทำงานหนักในการขับโซเดียมส่วนเกินออกทางปัสสาวะ เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย หากขับออกได้ไม่หมดโซเดียมก็จะคั่งและเป็นตัวดึงน้ำไว้ในร่างกาย ทำให้มีปริมาณของเหลวไหลเวียนในร่างกายมากผิดปกติ เพิ่มแรงดันในหลอดเลือดให้สูงขึ้น ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เกิดปัญหาหลอดเลือดทั้งขนาดใหญ่และเล็กที่ไปเลี้ยงทั่วร่างกายปรับตัวหนาและแข็งตามมา

โดยเฉพาะที่ไตจะมีผลกระทบมาก เนื่องจากมีเส้นเลือดฝอยเล็กๆ จำนวนมากทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด ไม่สามารถขับของเสียออกได้หมด เกิดการอักเสบของเส้นเลือด เร่งให้เกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าปกติ เป็นเพชฌฆาตเงียบที่คร่าชีวิตคนกินเค็ม เพราะหากยังกินเค็มต่อเนื่อง ภายใน 5-10 ปีหลอดเลือดในไตจะเสื่อมสภาพอย่างถาวรทำให้เป็นไตวายเรื้อรัง รักษาให้กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไตใหม่ จึงต้องเร่งรณรงค์ให้ประชาชนลดการกินเค็มลงกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน เป็นการถนอมไต ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับไตในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม โรคไตเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ เพียงแค่ตัวเราเองมีสติและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ยา การรับประทานอาหาร หรือการใช้ชีวิตประจำวัน ในขณะที่ความเสี่ยงบางอย่างก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากแต่สามารถควบคุมได้ เช่น โรคทางกรรมพันธุ์ต่างๆ ที่หากไปพบแพทย์ตามนัด และคอยดูแลตัวเองอยู่เสมอก็สามารถลดโอกาสในการเกิดโรคไตได้เช่นเดียวกัน หากมีความสงสัยควรมาพบแพทย์ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นของโรค


ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=15241
สมาชิกใหม่..ก่อนตั้งกระทู้แนะนำตัวให้ดูตัวอย่าง.แล้วไปอ่านประกาศการใช้งานบอร์ดและห้องโหลดเพลง เมื่ออ่านเข้าใจแล้วก็ตอบรับทราบทั้ง 2 กระทู้1.ห้ามเด็ดขาดการใช้เพียงอีโมตอบกระทู้เพื่อโหลดเพลง.2.ห้ามตอบเพียงขอบคุณครับ/ค่ะ โหลดเพลง 5:1 อ่านให้เข้าใจด้วย

ออฟไลน์ หนุ่มบางแค

  • MOD
  • *
  • ออฟไลน์
  • 418
    191
  • เพศ: ชาย
    • อีเมล์
Re: จะ"เค็ม'ไปถึงไหน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 06/มิ.ย./13 23:36น. »

ผมขอยกบทความตอนนึงของวรรณกรรมเรื่องสามก๊กมาประกอบเรื่องอาหารรสจืดนะครับ  " ในขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้โปรดให้ตังเจี๋ยวข้าหลวงคนใหม่ไปพบโจโฉ เพื่อเรียกเข้าเฝ้าปรึกษาข้อราชการ โจโฉครั้นทราบว่าตังเจี๋ยวข้าหลวงในพระเจ้าเหี้ยนเต้ถือรับสั่งมาจึงออกไปต้อนรับแล้วเชิญเข้ามาในค่าย โจโฉเห็นบุคลิกลักษณะของตังเจี๋ยว “พ่วงพีผิวเนื้อสดใส จักษุนั้นโตกลม คิ้วสุดหางตา” ก็ประหลาดใจเพราะยามนี้ข้าวยากหมากแพง อาหารไม่บริบูรณ์ ขุนนางข้าราชการทั่วไปซูบซีดผอมโซ ไฉนคนผู้นี้จึงมีบุคลิกสมบูรณ์สดใสดังนี้ จึงถามว่าบ้านเมืองยามทุกข์เข็ญ ข้าวปลาอาหารไม่บริบูรณ์ แต่ตัวท่านสมบูรณ์ผ่องใสยิ่งนัก ท่านบำรุงร่างกายหรือมีโอสถทิพย์ประการใด

            ตังเจี๋ยวจึงว่าข้าพเจ้านี้ไม่เคยดื่มกินอาหารทิพย์หรือโอสถทิพย์แต่ประการใด ในระยะสามสิบปีมานี้ข้าพเจ้ากินแต่อาหารธรรมดา ไม่ปรุงรสชาติ ไม่ว่าเค็ม เปรี้ยว เผ็ด หวาน มัน คงกินแต่อาหารที่มีรสจืดหรือไร้รสเท่านั้น

            อาหารเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต เป็นทั้งเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตให้เจริญเติบโต และเป็นทั้งยาบำบัดรักษาโรค เนื่องเพราะอาหารนั้นเป็นต้นกำเนิดของเลือด เลือดเป็นต้นกำเนิดของความเจริญเติบโตและโรคภัยไข้เจ็บ โดยนัยยะนี้อาหารจึงมีทั้งคุณและโทษ อาหารที่ไร้รสจัดเป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่งที่มีมาแต่โบราณกาล สามก๊กในตอนนี้ได้เปิดเผยถึงการใช้อาหารเป็นยาอายุวัฒนะที่น่าสนใจทดลองยิ่ง"     ผมตัดมาจากตอนที่ 71. ปรากฎการณ์แห่งฟ้าดิของสามก๊ก ฉบับคนขายชาตินะครับ   ตัวผมกินอาหารรสจืด ๆ มาตลอด  กินก๋วยเตี๋ยวก็ไม่เคยปรุงรส  ใคร ๆ ก็ชมว่าหน้าผมผ่องใสเหมือนตังเจี๋ยวครับ


ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=15241
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06/มิ.ย./13 23:39น. โดย หนุ่มบางแค »

ออฟไลน์ ตี๋

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • ออฟไลน์
  • 0
    12
  • เพศ: ชาย
Re: จะ"เค็ม'ไปถึงไหน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 06/พ.ค./14 16:10น. »

ต้องยอมรับเช่นกันว่าผมก็ติดเค็มมากๆ แต่ไม่กี่ปีมานี้พยายามลดไปเยอะพอสมควรเพราะค่อนค้างกลัวผลของมัน

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=15241

ออฟไลน์ ประยุทธ

  • เซียน
  • ****
  • ออฟไลน์
  • 492
    15
Re: จะ"เค็ม'ไปถึงไหน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 01/มิ.ย./14 07:53น. »

ขอบคุณครับ ผมอีกคนหนึ่งที่ชอบทานอาหารรสจัด เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ก็คงต้องระมัดระวังมากขึ้น

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=15241

ออฟไลน์ ศิวพร กรุงเทพ

  • มืออาชีพ
  • **
  • ออฟไลน์
  • 52
    14
    • อีเมล์
Re: จะ"เค็ม'ไปถึงไหน
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 17/ม.ค./15 23:26น. »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ อาหารเค็มนี่อันตรายมาก ผมก็เคยกินเค็มเหมือนกันตอนนี้กำลังลดอยู่ครับ

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=15241

ออฟไลน์ น้ำหวานเจี๊ยบ

  • ปรมาจารย์
  • ***
  • ออฟไลน์
  • 268
    58
Re: จะ"เค็ม'ไปถึงไหน
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 18/ม.ค./15 11:49น. »

ขอบคุณพี่ประสิทธิ์มากครับ ผมโชคดีหน่อยที่เป็นคนไม่กินเค็มกินอะไรก็ไม่เคยใส่น้ำปลาเลย แต่น้ำตาลนี่สิขาดไม่ได้เลย :'e:39

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=15241

ออฟไลน์ ประดิษฐ์

  • เทพ
  • *****
  • ออฟไลน์
  • 841
    112
    • อีเมล์
Re: จะ"เค็ม'ไปถึงไหน
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 19/ม.ค./15 05:15น. »

เมื่อก่อนผมก็กินเค็มมาก เกลือเม็ดผมกินเล่นเลยครับ แต่ตอนนี้เลิกแล้ว ขอบตุณที่นำสาระดีๆมากฝากครับ :'e:92

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=15241

ออฟไลน์ โอฬาร

  • MOD
  • *
  • ออฟไลน์
  • 1266
    816
Re: จะ"เค็ม'ไปถึงไหน
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 03/ก.พ./15 11:13น. »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับท่านประสิทธิ์ น่ากลัวๆ....แต่ว่ากินน้ำตาลของคุณน้อยหย่าเข้าไปเพิ่มมันจะช่วยให้หายเค็มได้หรือเปล่าครับ...อิอิ

+0 โดย

ลิ้งค์หัวข้อ: https://www.plengpakjai.net/index.php?topic=15241